ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2568 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมีแรงสนับสนุนหลักจากการขยายตัวของภาคส่งออกและการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนยังคงชะลอตัว สะท้อนความเปราะบางของกำลังซื้อในประเทศ
ธปท.ระบุว่า แม้ความต้องการภายในประเทศโดยรวมจะปรับดีขึ้นจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น แต่การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนกลับลดลง จากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้าที่ชะลอตัว ซึ่งไปหักล้างกับการใช้จ่ายในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการที่ขยายตัว
นางชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า การบริโภคมีแนวโน้มปรับดีขึ้นในเดือนธันวาคม จากปัจจัยฤดูกาลและการใช้จ่ายช่วงเทศกาลปลายปี ซึ่งอาจช่วยพยุงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม ธปท.คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวราว 2.2% ก่อนจะชะลอลงเหลือ 1.5% ในปี 2569 หลังจากปี 2567 เติบโต 2.5% โดยเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคนับตั้งแต่ช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19
ในปี 2568 เศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันหลายด้าน ทั้งมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2569
ขณะเดียวกัน ค่าเงินบาทยังแข็งค่ามากกว่าระดับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่า ธนาคารกลางมีมาตรการดูแลความผันผวนของค่าเงินอย่างใกล้ชิด โดยนับตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นราว 9% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เงินบาทเป็นสกุลเงินที่แข็งค่ามากเป็นอันดับสองในเอเชีย
การแข็งค่าของเงินบาทกลายเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน ภาคส่งออกซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจ ขยายตัว 5.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การนำเข้าพุ่งขึ้นถึง 17.3% ส่งผลให้ประเทศไทยขาดดุลการค้า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนเดียวกัน
ภาพรวมดังกล่าวสะท้อนว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวจากภาคต่างประเทศและการลงทุน แต่ฐานการบริโภคภายในประเทศยังอ่อนแรง และยังคงต้องเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและความไม่แน่นอนเชิงโครงสร้างในอนาคต