FTA ไทย-เอฟตา รอครม.ใหม่เสนอรัฐสภา เปิดตลาดยุโรปกำลังซื้อสูง

16 ธ.ค. 2568 | 04:57 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ธ.ค. 2568 | 09:44 น.

ผ่าความคืบหน้า FTA ไทย–เอฟตา ยังรอ ครม.ชุดใหม่เสนอรัฐสภา คาดดัน GDP โต 0.179% เปิดตลาดยุโรปกำลังซื้อสูง ลดภาษี 90% หนุนส่งออก-ลงทุน-ยกระดับ SME ไทย

KEY

POINTS

  • ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-EFTA อยู่ในขั้นตอนรอนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนมีผลบังคับใช้
  • ข้อตกลงนี้จะช่วยเปิดตลาด 4 ประเทศยุโรปที่มีกำลังซื้อสูง ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ซึ่งจะยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมทุกรายการให้ไทยทันที
  • คาดว่า FTA ฉบับนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสการส่งออก ลดต้นทุนการผลิต ดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสู่ไทย และคาดว่าจะทำให้ GDP ของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.179% ต่อปี

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย 'ฐานเศรษฐกิจ' ถึงความคืบการหน้าความตกลงการค้าเสรี (FTA) ร่วมกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) หรือ FTA ไทย - เอฟตา ว่า ปัจจุบัน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ อยู่ระหว่างดำเนินกระบวนการภายในประเทศ โดยจะต้องนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เพื่อเสนอต่อรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ไทยเข้าเป็นภาคีความตกลงฯ ต่อไป จึงมีผลบังคับใช้ต่อไป

โดยที่ผ่านมา ทางกรมเจรจาฯ ได้เปิดรับฟังความเห็นสาธารณะต่อการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-EFTA ผ่านเว็บไซต์ของกรมฯ เป็นระยะเวลา 120 วัน (5 มีนาคม - 2 กรกฎาคม 2568) รวมทั้งจัดสัมมนารับฟังความเห็น จำนวน 5 ครั้ง ณ จังหวัดชลบุรี สงขลา เชียงใหม่ ขอนแก่น และกรุงเทพมหานคร ในช่วงเดือนเมษายน - สิงหาคม 2568 

ทั้งนี้ในภาพรวม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคส่วนต่าง ๆ เห็นว่าความตกลงการค้าเสรีฉบับนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสส่งออกสินค้าและลดต้นทุนการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการไทย 

ขณะเดียวกันจะช่วยดึงดูดการลงทุนในสาขาที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีพร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ไทยขยายบริการที่มีศักยภาพสู่ตลาดเอฟตา รวมถึงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนายกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าและกระบวนการผลิต ซึ่งจะเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและเป็นพื้นฐานสู่ตลาดสหภาพยุโรปต่อไป 

นอกจากนี้ มีข้อเสนอแนะในการช่วยเหลือกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงปลาที่มีข้อกังวลว่าอาจได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี เช่น การลดต้นทุนวัตถุดิบในการผลิต การเร่งรัดจัดตั้งกองทุน FTA และการมีกลไกติดตามผลกระทบ รวมถึงข้อเสนอแนะในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการ 

โดยเฉพาะ SME เช่น การให้ความช่วยเหลือในการพัฒนายกระดับมาตรฐานสินค้าและกระบวนการผลิต ส่งเสริมโอกาสในการเข้าสู่ตลาดและแหล่งเงินทุน 

สำหรับ FTA ไทย- EFTA ไทยได้ลงนามกับกลุ่ม EFTA (สวิตเซอร์แลนด์, นอร์เวย์, ไอซ์แลนด์, ลิกเตนสไตน์) รวมทั้งหมด 4 ประเทศ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 

นอกจากนี้ EFTA ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ ไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์ โดยเป็นตลาดที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูง พร้อมทั้งมีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์จึงคาดว่าความตกลงดังกล่าวจะทำให้ GDP ของไทยขยายตัวเพิ่มอีก 0.179% ต่อปี

โดย EFTA เป็นคู่ค้าอันดับที่ 2 ของไทยในยุโรป โดยในปี 2024 การค้าของไทยกับ EFTA มีมูลค่า 11,788.37 ล้านดอลลาร์ และเป็นนักลงทุนอันดับที่ 14 จากนักลงทุนชาวต่างชาติทั้งหมด มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 1,422 ล้านบาท (สวิตเซอร์แลนด์เป็นนักลงทุนอันดับ 1 ตามด้วยลิกเตนสไตน์และนอร์เวย์)

นอกจากนี้ EFTA จะยกเว้นภาษีนำเข้า (ภาษี 0%) ให้กับไทยในสินค้าประมาณ 90% ของรายการสินค้าทั้งหมด พร้อมยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมทุกรายการ รวมถึงสินค้าเกษตรบางรายการให้กับไทยทันทีในวันแรกที่ FTA มีผลบังคับใช้

ส่วนสินค้าส่งออกสำคัญของไทยที่จะได้รับประโยชน์ เช่น ข้าว, ข้าวโพดหวาน, ผักและผลไม้สดและแปรรูป, ซอสปรุงรส, เครื่องดื่ม, อาหารทะเลสดและแปรรูป, อัญมณีและเครื่องประดับ, นาฬิกาและส่วนประกอบ, เครื่องใช้ไฟฟ้า,

ขณะเดียวกัน การเปิดตลาดของไทยให้กับ EFTA จะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการในการนำเข้าวัตถุดิบมาผลิตสินค้าเพื่อใช้ในประเทศหรือเพื่อส่งออก ซึ่งสินค้าวัตถุดิบที่ไทยนำเข้าจาก EFTA เช่น ทองคำ ชิ้นส่วนนาฬิกา

โดย EFTA ยังเปิดให้นักลงทุนไทยเข้าไปประกอบธุรกิจ โดยถือหุ้นในกิจการได้ถึง 100% ในหลายสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ก่อสร้าง, โรงพยาบาล, บริการทางการแพทย์, ค้าปลีก, ท่องเที่ยว, โรงแรม, ร้านอาหาร, ธุรกิจความงามและเสริมสุขภาพ และการดูแลสัตว์เลี้ยง

นอกจากนี้ การเปิดตลาดบริการของไทยจะดึงดูดการลงทุนจาก EFTA โดยเฉพาะในสาขาที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่ง EFTA มีความเชี่ยวชาญ และไทยต้องการได้รับการพัฒนา Know-How เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นในประเทศ เช่น การวิจัยและพัฒนา, การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม, ICT และการซ่อมบำรุงรักษาชิ้นส่วนอากาศยาน