คสธก. ไฟเขียวร่างคุมสินค้าผิดกฎหมายทะลักเข้าไทย ตั้ง 2 ทีมปราบด่วน

09 ธ.ค. 2568 | 10:19 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ธ.ค. 2568 | 10:58 น.

ประชุม คสธก. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกฯ ตั้งคณะกรรมการถาวร แก้ปัญหาสินค้าผิดกฎหมายทะลัก พร้อมตั้ง 2 อนุกรรมการลุยตรวจเข้มสินค้านำเข้าผิดกฎหมาย และธุรกิจนอมินี

KEY

POINTS

  • คสธก. มีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อควบคุมปัญหาสินค้าจากต่างประเทศที่ทะลักเข้าไทยอย่างยั่งยืน
  • อนุมัติการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการบริหารจัดการปัญหาสินค้าผิดกฎหมาย
  • คณะอนุกรรมการจะรับผิดชอบการแก้ปัญหาสินค้าที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และตรวจสอบเส้นทางการเงินของธุรกิจกลุ่มเสี่ยง (นอมินี)

วันนี้ (9 ธ.ค. 68) นางอารดา เฟื่องทอ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย (คสธก.) โดยมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธานฯ เห็นชอบ (ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการบริหารจัดการปัญหาสินค้าจากต่างประเทศและธุรกิจต่างประเทศ พ.ศ. ....

เพื่อให้คณะการทำงานชุดดังกล่าวมีความยั่งยืนเพราะปัจจุบันเป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและเมื่อรัฐบาลปัจจุบันหมดวาระประการจะสิ้นสุดลง จึงเป็นที่มาของการร่างประการดังกล่าว ซึ่งจะเริ่มร่างเป็นระเบียบนายกฯ 

ทั้งนี้ยังได้ร่วมพิจารณาสินค้าผิดนำเข้าที่ผิดกฎกมาย มีปัญหาเรื่องใดบ้าง รัฐบาลจะบริหารจัดการอย่างไร จึงได้เห็นชอบ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ

ตั้งคณะอนุฯ 2 ชุด คุมเข้มสินค้าไม่ได้มาตรฐาน-นอมินี

1.คณะกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย มีกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศเป็นฝ่ายเลขาฯ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

2.คณะกรรมการสนับสนุนการตรวจสอบเส้นทางการเงินธุรกิจกลุ่มเสี่ยงนอมินี โดยมีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

โดยให้กรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะเลขานุการของที่ประชุมฯ ขอหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตกผลึกก่อนจากนั้นจะเสนอรายชื่ออนุกรรมการทั้งสองคณะฯ รายงานนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง โดยไม่ต้องเสนอเข้าสู่การประชุมอีกครั้ง 

ขณะที่ความคืบหน้าของการเจรจาภาษีทรัมป์ โดยเฉพาะสินค้าถิ่นกำเนิดยังเหมือนเดิมอยู่ ทั้งการป้องกันการสวมสิทธิถิ่นกำเนิด เพื่อเลี่ยงภาษี กรมการค้าต่างประเทศยังดูแลอย่างต่อเนื่อง