หนุนขึ้นเงินสมทบประกันสังคม! นักวิชาการมธ. แนะรัฐลดภาษีช่วยนายจ้าง

06 ธ.ค. 2568 | 04:00 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ธ.ค. 2568 | 04:04 น.

การขึ้นเงินสมทบประกันสังคมถูกมองว่าเป็นความจำเป็นตามโครงสร้างเศรษฐกิจยุคใหม่ แต่นักวิชาการชี้รัฐต้องเร่งปฏิรูปการบริหารกองทุน และออกมาตรการลดหย่อนภาษีช่วยผู้ประกอบการควบคู่กัน

จากกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยกำหนดให้มีการปรับเพดานค่าจ้างแบบขั้นบันไดทุก 3 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป และอัตราเงินสมทบยังคงคิดที่ร้อยละ 5 เช่นเดิม ซึ่งในช่วง 3 ปีแรก ตั้งแต่ปี 2569-2571 เพดานค่าจ้าง 17,500 บาทต่อเดือน ซึ่งเดิมผู้ประกันตน มาตรา 33 เคยส่งเงินสมทบสูงสุดเดือนละ 750 บาท จะปรับเพิ่มเป็น 875 บาทต่อเดือน

ผศ. ดร.ธร ปีติดล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับการปรับเพดานจ่ายเงินสมทบในระบบประกันสังคมแบบขั้นบันไดทุก 3 ปี ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีการพูดคุยและเป็นข้อเสนอในแวดวงนักวิชาการด้านประกันสังคมมาตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี

เนื่องจากอัตราเงินสมทบเดิมเป็นภาพสะท้อนของค่าจ้างเมื่อ 30 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจและค่าจ้างมีความเปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่จะมีการปรับเปลี่ยน ส่วนผู้ที่มีฐานเงินเดือนไม่ถึง 17,500 บาท ก็ยังคงคิดอัตราเงินสมทบที่ร้อยละ 5 เช่นเดิม โดยผู้ประกันตนที่จ่ายสมทบเพิ่มขึ้นก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น เงินชดเชยรายได้กรณีเจ็บป่วย เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น และเงินบำนาญที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ผศ. ดร.ธร กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของผู้ประกันตน คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบต่อการปรับเพดานสมทบตามสัดส่วนเงินเดือนเท่าใดนัก เพราะลักษณะของเงินเดือนมักจะไม่ได้ปรับลงตามสภาพเศรษฐกิจ แต่ในส่วนของผู้ประกอบการในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความเปราะบางนั้น เป็นบทบาทของภาครัฐที่จะต้องเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาผ่านการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมต่างๆ แก่ผู้ประกอบการ เช่น สิทธิการลดหย่อนภาษี หรืออื่นๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาเหล่านี้ไปเสียก่อน

ผศ. ดร.ธร กล่าวว่า อาจมีผู้ประกันตนจำนวนหนึ่งรู้สึกไม่เชื่อมั่นและตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพในการบริหารเงินกองทุนประกันสังคม และความคุ้มค่าในสิทธิประโยชน์ที่ได้รับกับเงินสมทบที่จ่ายไป โดยบางส่วนมองว่าเป็นการผลักภาระมาให้ผู้ประกันตนและผู้ประกอบการหรือไม่ ส่วนตัวเข้าใจต่อมุมมองเหล่านี้ แต่อาจจะต้องแยกเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารกับการเพิ่มอัตราเงินสมทบเพื่อประโยชน์ของผู้ประกันตนออกจากกัน

“มันเป็นปัญหาคนละส่วนกัน แต่มันเป็นเรื่องที่สามารถพัฒนาควบคู่ไปพร้อมๆ กันได้ ในเมื่อผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบเยอะขึ้น มันทำให้เรายิ่งต้องแคร์มันมากขึ้น จึงอยากให้ผู้ประกันตนช่วยกันจับตา ตรวจสอบว่ากองทุนประกันสังคมได้พัฒนาตนเองไปตามเงินสมทบที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าเป็นปัจจัยที่ดีด้วยซ้ำไปในแง่ที่สังคมจะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันประกันสังคมให้ทำงานอย่างโปร่งใส และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้มากขึ้น” ผศ. ดร.ธร กล่าว

ผศ. ดร.ธร กล่าวว่า เพื่อให้กองทุนประกันสังคมสามารถบริหารเงินกองทุนประกันสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนตัวเห็นว่าควรจะมีการออกพระราชบัญญัติ หรือร่างกฎหมายเพื่อทำให้กองทุนประกันสังคมมีอิสระและเกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน ไม่ติดอยู่ในกรอบหรือระเบียบต่างๆ ของทางราชการมากเกินไป และสามารถจ้างผู้จัดการกองทุนมืออาชีพจากภาคเอกชนเข้ามาบริหารเงินกองทุนได้

ส่วนตัวไม่อยากให้ประกันสังคมมีบทบาทที่เปรียบเสมือนกรมหนึ่งของกระทรวงแรงงาน และมีระบบราชการเป็นผู้กุมทิศทางในการบริหารเงินงบประมาณจำนวนมหาศาล ไม่ใช่ผู้จัดการกองทุนจากภาคเอกชนที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารสินทรัพย์เพื่อทำให้เงินกองทุนประสังคมนั้นเติบโต มั่นคงในระยะยาว ทั้งนี้ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ย่อมขึ้นอยู่กับเจตจำนงทางการเมืองของผู้นำทางการเมืองว่าต้องการที่จะปฏิรูประบบประกันสังคมมากน้อยเพียงใด

นอกจากเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารเงินประสังคม ยังมีมิติเรื่องสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนที่ควรพัฒนาไปทางที่ดีตามเงินสมทบที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนตัวคิดว่าผู้ประกันตนคงให้ความสำคัญไปที่เรื่องสิทธิการรักษาพยาบาล และเรื่องเงินบำนาญเป็นหลัก

“คนทำงานก็กลัวอยู่ 2 เรื่อง คือกลัวเจ็บป่วย และกลัวเกษียณแล้วไม่มีเงิน ในเชิงการบริหารจัดการเรื่องสิทธิการรักษาคิดว่าประกันสังคมในปัจจุบันก็ใช้วิธีการบริหารเชื่อมโยงกับระบบของบัตรทองอยู่ ซึ่งประกันสังคมสามารถใช้บัตรทอง หรือระบบการบริหารของ สปสช. เป็นฐานในการเรียนรู้ และพัฒนาต่อยอดให้ดีกว่ามาตรฐานของบัตรทองได้ เพื่อให้สมน้ำสมเนื้อกับที่ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินเพิ่ม”ผศ. ดร.ธร กล่าวพร้อมระบุว่า

ขณะที่เรื่องบำนาญ อยากจะให้ประกันสังคมคิดสูตรบำนาญในรูปแบบใหม่ๆ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น อนุญาตให้ผู้ที่มีรายได้สูงกว่าเพดานสามารถส่งเงินสมทบเพิ่มเติมได้ เพื่อให้ได้รับบำนาญที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตจริงๆ ในวัยเกษียณ จะได้ทำให้คนวัยทำงานไม่ต้องจ่ายประสังคม แล้วยังต้องไปซื้อประกันออมเงินเกษียณของเอกชน หรือประกันชนิดอื่นๆ ซ้ำซ้อน ทั้งๆ ที่สามารถทำให้ครบวงจรได้ที่ประกันสังคม” ผศ. ดร.ธร กล่าว