นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า การประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และกลุ่มธนาคารโลก (IMF-WBG Annual Meetings) จะจัดขึ้นทุกปีในเดือนตุลาคม โดยจะหมุนเวียนสถานที่จัดงานระหว่างสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา จัดต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี และหมุนเวียนไปยังประเทศสมาชิกที่ได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพทุก 3 ปี เพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายในแต่ละภูมิภาคและความร่วมมือระดับสากล
สำหรับปี 2569 ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IMF-WBG Annual Meetings 2026 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 18 ตุลาคม 2569 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งไทยเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดงานสำคัญถึง 2 ครั้ง หลังจากเคยเป็นเจ้าภาพมาแล้วในปี 2534
“การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IMF-WBG Annual Meetings 2026 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยในหลายมิติ ทั้งบทบาททางด้านเศรษฐกิจและการเงินของไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับโลก การแสดงความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งอุตสาหกรรมการบินและการขนส่ง อุตสาหกรรมท่องเที่ยว การอำนวยความสะดวก และสถานที่จัดงาน“
ทั้งนี้ การประชุมครั้งนี้ จะจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเคยใช้เป็นสถานที่จัด IMF-WBG Annual Meetings ครั้งแรกในปี 2534 และงานประชุมระดับนานาชาติอย่าง APEC2022 มาแล้ว
นอกจากนี้ การเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ไทยจะได้นำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทย ทั้งศิลปวัฒนธรรมอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทำให้งานประชุมนี้จะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยว การบริการ และการลงทุนในหลากหลายภาคส่วน เนื่องจากมีจำนวนผู้เข้าร่วมงานทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชนและสื่อมวลชน จำนวนกว่า 15,000 คน จาก 191 ประเทศทั่วโลก ที่เดินทางมายังประเทศไทยในช่วงเวลาดังกล่าว
การประชุม IMF–WBG Annual Meetings 2026 เป็นเวทีหารือระดับนานาชาติที่สำคัญ โดย IMF–WBG จะเป็นผู้กำหนดธีมหลักของการประชุมในแต่ละปี เพื่อใช้เป็นกรอบในการอภิปรายประเด็นเศรษฐกิจ การเงิน และความท้าทายระดับโลกที่ทุกประเทศต้องร่วมกันรับมือ
สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการจัดงานครั้งนี้อยู่ที่ 2,800 ล้านบาท โดยเป็นการทยอยของบประมาณเริ่อยๆ สำหรับการจัดงานในทุกมิติไม่ใช่เฉพาะช่วงจัดากรประชุมเท่านั้น
ทั้งนี้ ไทยจะได้ประโยชน์จากการจัดงานแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่
1.ระยะสั้น ทำให้เกิดรายได้จากโรงแรม ร้านอาหาร และการเดินทางของผู้ร่วมประชุมกว่า 15,000 คน
2.ระยะกลาง เป็นการแสดงให้ผู้กำหนดนโยบายของประเทศที่เข้าร่วมประชุมได้เห็นศักยภาพของประเทศ มาตรฐานของเมืองหลวงระดับ Global City ส่งผลต่อการรับรู้และการลงทุน
3.ระยะยาว เป็นการยกระดับประเทศในหลายมิติ พัฒนามาตรฐานการบริการ แสดงตำแหน่งของไทยในฐานะ mice city และ สร้าง มรดกทางสถาบันและระบบให้ประเทศ แม้การประชุมจะจบลงไปแล้ว
น.ส. ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สำหรับปี 2026 ไทยในฐานะเจ้าภาพได้กำหนดธีมหลักของประเทศภายใต้ชื่อ “Thailand’s New Horizons: Empowering People, Building Resilience” สะท้อนแนวคิดการพัฒนาที่ให้ “ประชาชน” เป็นศูนย์กลาง พร้อมเสริมสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินมีความพร้อมรับมือความเสี่ยงในอนาคต
”ธีมดังกล่าวมุ่งต่อยอดจุดแข็งของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าด้านการชำระเงินดิจิทัล เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และศักยภาพของแรงงานไทย พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการยกระดับทักษะ ความรู้ และโอกาสทางเศรษฐกิจของประชาชนเพื่อให้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน“
อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในระบบการเงิน แม้ช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพ แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเสริมสร้างให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันทางการเงินดิจิทัล การกำหนดธีมเจ้าภาพครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะสื่อสารวิสัยทัศน์การพัฒนาในอนาคตต่อเวทีโลก
และใช้การประชุม AM2026 เป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เสริมสร้างความร่วมมือ และผลักดันประเด็นด้านการเสริมศักยภาพประชาชนและความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ เพื่อก้าวไปสู่ “New Horizons” อนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน และครอบคลุมสำหรับทุกคน
“ผลที่ได้จากการเป็นเจ้าภาพการประชุมวัดเป็นเม็ดเงินได้ยาก เนื่องจากผลที่ได้มีทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงคือจากค่าโรงแรม ค่าสถานที่ แต่ยังมีผลทางอ้อมคือการที่ผู้ร่วมงานจะกลับมาเที่ยวไทยอีกครั้ง รวมถึงการแสดงศักยภาพของประเทศเพื่อสร้างความเชื่อมั่น“