‘เอกนิติ’ ชี้เศรษฐกิจไทยต้องรีเซ็ต 4 เรื่องหลัก ปี 69 มุ่งลงทุน

02 ธ.ค. 2568 | 15:08 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ธ.ค. 2568 | 15:47 น.

‘เอกนิติ’ ชี้เศรษฐกิจไทยกินบุญเก่า สัดส่วนลงทุนเหลือเพียง 22% ต้องรีเซ็ต 4 เรื่องหลัก วางยุทธศาสตร์ ปี 69 มุ่งลงทุนยั่งยืน

KEY

POINTS

  • นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องรีเซ็ตใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ การเติบโตที่ชะลอตัว, เสถียรภาพการคลัง, สังคมสูงวัยและความเหลื่อมล้ำ, และปัญหาสิ่งแวดล้อม
  • เสนอให้ปี 2569 เป็น "ปีแห่งการลงทุน" เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นธุรกิจใหม่ เช่น พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยมีศักยภาพ
  • รัฐบาลจะใช้กลไกการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการขนาดใหญ่แทนการกู้เงินที่เพิ่มหนี้สาธารณะ
  • พร้อมสร้างวินัยทางการคลังโดยตั้งเป้าลดการขาดดุลงบประมาณ และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำผ่านการพัฒนาทักษะแรงงานและส่งเสริม SME

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในหัวข้อ Thailand Economic Reset ยุทธศาสตร์ประเทศไทย ในงาน Go Thailand 2026 Beyond Survival จัดโดยฐานเศรษฐกิจ ว่า ประเทศไทยมีความท้าทายที่กำลังเผชิญอยู่หลายด้าน ซึ่งในปี 2569 จะเสนอแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นเพื่อการลงทุน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน โดยจำเป็นต้องรีเซ็ตใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่

1. การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและผันผวน

อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง เคยโตเฉลี่ย 7% ก่อนปี 2540, ลดเหลือ 5% หลังปี 2540, และปัจจุบันเหลือเพียง 3% โดยปีนี้คาดการณ์ว่าจะโตเพียง 2% ปัญหาคือการเติบโตที่ผันผวน (โตสั้นๆ) ซึ่งนำไปสู่ความไม่ยั่งยืน

2. เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 

แม้ว่าภาคธนาคารและทุนสำรองระหว่างประเทศจะมีความเข้มแข็งมากหลังวิกฤตปี 2540 โดย NPL เหลือไม่ถึง 3% และทุนสำรองมากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นถึง 2.5 เท่า แต่จุดอ่อนสำคัญคือ เสถียรภาพทางการคลัง ซึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายช่วงโควิด ทำให้ถูก Rating Agency เตือน อย่างไรก็ตาม ล่าสุด S&P ได้คงอันดับเครดิตไทย จากความเชื่อมั่นแผนการคลังรัฐบาล

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ นองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทีวงการคลัง

3. สังคมสูงวัยและความเหลื่อมล้ำ

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ คนไทยกลุ่มที่มีรายได้ดีที่สุด 20% สุดท้าย กินสัดส่วนรายได้ของประเทศ (GDP) ถึง 50% ขณะที่กลุ่มรายได้น้อยที่สุด 20% แรก กินสัดส่วนรายได้เพียง 6% นอกจากนี้ เงินฝากในธนาคารที่เกิน 1 ล้านบาท มีเพียง 1.6% ของคนไทย แต่กินสัดส่วนเงินฝากถึงกว่า 80%

4. ปัญหาสิ่งแวดล้อมและโลกร้อน

ต้องรีเซ็ตเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาโลกร้อนที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ 

วิกฤต “กินบุญเก่า” การลงทุนลดฮวบ

การที่เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำและผันผวนเกิดจากการ "กินบุญเก่า" โดยเฉพาะการลงทุนที่ลดลงอย่างมาก ก่อนปี 2540 การลงทุนภาครัฐและเอกชนรวมกันสูงถึง 40% ของ GDP แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 22% ของ GDP

“ประเทศไทยเปรียบเสมือนอุตสาหกรรมเดิม ๆ เช่น โรงงานเก่า หรือการขายข้าวแบบเดิม ยังคงอยู่ การพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก 60% ของ GDP  ทำให้ประเทศอ่อนแอเมื่อเกิดปัญหากระทบเศรษฐกิจโลก”

ยุทธศาสตร์การรีเซ็ต ปีแห่งการลงทุนและการเงินที่ยั่งยืน

นายเอกนิติ กล่าวว่า หลังจากใช้มาตรการ Quick Win ในช่วง 4 เดือนแรกเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน เช่น หนี้ครัวเรือนและสภาพคล่องเอสเอ็มอี ยุทธศาสตร์ในปี 2569 คือ "ปีแห่งการลงทุน"

สำหรับการลงทุนต้องมุ่งไปที่ธุรกิจใหม่ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก เช่น พลังงานสะอาด (Green Energy) เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพทั้งแสงแดด ที่ดิน และอ่างเก็บน้ำ ต่างจากประเทศที่ขาดแคลนพื้นที่อย่างสิงคโปร์

ขณะเดียวกัน ในฐานะประธานบอร์ด BOI เราได้ผลักดันการ "ปลดล็อก" กติกาและกฎระเบียบที่ทำให้ประเทศช้า ผ่านโครงการ Fast Pass ซึ่งพบว่ามีโครงการลงทุนพร้อมดำเนินการถึง 400,000 กว่าล้านบาท ในปีหน้า ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยยังคงเข้มแข็ง ได้แก่ Food Processing, Smart Farming, ยานยนต์สมัยใหม่ (EV), Smart Electronic, และ Wellness

ทั้งนี้ งบประมาณรัฐบาลมีจำกัด รัฐบาลจะใช้กลไกการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) และการใช้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Infrastructure Fund) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อดึงเงินทุนจากนักลงทุนมาใช้ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ แทนการกู้เงินที่เพิ่มหนี้สาธารณะ

นอกจากนี้ จะสร้างวินัยทางการคลัง โดยมีการนำแผนความยั่งยืนทางการคลังระยะปานกลางเข้า และวางเป้าหมายลดการขาดดุลจากปัจจุบัน 4.4% ของ GDP ให้ต่ำกว่ามาตรฐานโลกที่ 3% ของ GDP ภายในปี 2572

ขณะเดียวกัน จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยการพัฒนาคนและเอสเอ็มอี โดยในโครงการคนละครึ่งพลัส ได้ต่อยอดโครงการด้วยการรีสกิลและอัพสกิล พ่อค้าแม่ค้าให้สามารถขายของออนไลน์ ทำบัญชี และใช้ดิจิทัล ข้อมูลจากแพลตฟอร์มเอกชนพิสูจน์แล้วว่าช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า และรายได้ของผู้ส่งสินค้าในพื้นที่เพิ่มขึ้น 15%

ส่วนเอสเอ็มอีนั้น นอกจากการเติมสภาพคล่องแล้ว ยังใช้ Supply Chain Financing และ Business Transformation โดยมีมาตรการ "พี่ช่วยน้อง" ให้บริษัทขนาดใหญ่ให้การสนับสนุน SME เข้าสู่ระบบดิจิทัลและการเงิน ทั้งนี้ จะพัฒนาทักษะแรงงาน ให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุน ทั้งนี้ ต้องเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุที่มีศักยภาพกลับเข้ามาทำงาน เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน