กูรูชี้ยุบสภา ธ.ค.กระทบเจรจาภาษีทรัมป์-เครดิตเรทติ้ง

21 พ.ย. 2568 | 07:43 น.
อัปเดตล่าสุด :21 พ.ย. 2568 | 08:58 น.

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ชี้ หากยุบสภาก่อนกำหนด พ่วงเจรจาภาษีทรัมป์ไม่จบ เสี่ยงเศรษฐกิจไทยปี 69 โตเหลือ 0.5% และถูกปรับลดเครดิตเรตติ้งเป็น Negative

KEY

POINTS

  • ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการยุบสภาในเดือนธันวาคมจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาภาษีทรัมป์ เนื่องจากรัฐบาลรักษาการไม่สามารถลงนามข้อตกลงได้
  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองและภาษีจะทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2569 อาจอยู่ในภาวะชะงักงัน
  • ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอาจทำให้ GDP ปี 2569 โตต่ำกว่าคาดการณ์ และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมีโอกาสสูงที่จะปรับลดมุมมองเครดิตของไทยเป็น "เชิงลบ"

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2569 หากเกิดการยุบสภาเร็วกว่ากำหนด ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นหนึ่งในความเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ โดยเฉพาะเมื่อความเสี่ยงดังกล่าวถูกพ่วงเข้ากับความไม่แน่นอนในการเจรจาภาษีทรัมป์ (Trump tariffs) กับสหรัฐอเมริกา

รศ.ดร.อัทธ์ ระบุว่า ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจในปัจจุบันมีอยู่ 2เรื่องที่เชื่อมโยงกัน คือ เรื่องการยุบสภา และเรื่องการเจรจาภาษีทรัมป์ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป โดยหากนายกฯ อนุทินตัดสินใจยุบสภาในเดือนธันวาคม หรือต้นเดือนมกราคมปีหน้า จะส่งผลกระทบที่แตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับการยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 

หากเกิดการยุบสภาเร็วขึ้น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะหายไป และนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศจะชะลอการลงทุน เนื่องจากไม่แน่ใจในนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งคาดการณ์ว่า รัฐบาลใหม่น่าจะจัดตั้งได้ในช่วงกลางปี 2569 หรือหลังเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป 

ด้วยเหตุนี้ ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2569 เศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะ แช่แข็ง (freeze) โดยเฉพาะการลงทุนใหม่จากภาคเอกชนในประเทศ และการลงทุนจากต่างประเทศจะหยุดชะงัก เนื่องจากต้องรอความชัดเจนด้านนโยบาย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลรักษาการ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส อาจช่วยได้เพียงแค่การกระตุ้นการบริโภคเท่านั้น ซึ่งเป็นประโยชน์ในระยะสั้น

ฉากทัศน์ทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุด

ภายใต้สถานการณ์การยุบสภา และปัญหาความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้น เมื่อบวกกับความเสี่ยงเรื่องการเจรจาภาษีทรัมป์ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป รศ.ดร.อัทธ์ มองว่า ตัวเลขคาดการณ์ GDP ของ IMF สำหรับปี 2569 ที่ 1.6% อาจลดลงเหลือเพียง 0.5% - 1% เท่านั้น

ในฉากทัศน์นี้ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก เช่น S&P และ Fitch Ratings มีโอกาสสูงที่จะ ปรับลด Outlook ของประเทศไทยเป็น Negative ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างแน่นอน

ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาและมาเลเซียได้มีการลงนามและสรุปข้อตกลงภาษีทรัมป์ไปเรียบร้อยแล้ว การที่ไทยยังไม่สามารถสรุปได้ ทำให้ขาดความมั่นใจแก่นักลงทุนว่าสินค้าใดจะถูกเก็บภาษีในอัตราเท่าใด

ปมปัญหาภาษีทรัมป์และความไม่แน่นอน

รศ.ดร.อัทธ์ อธิบายว่า ประเด็นการเจรจาภาษีทรัมป์ ถูกพิจารณาควบคู่ไปกับความไม่มั่นคงทางการเมือง หากมีการยุบสภา รัฐบาลจะอยู่ในสถานะรักษาการ ซึ่งแม้จะสามารถเจรจาทางเทคนิคได้ แต่โดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่ลงนามข้อตกลงกับรัฐบาลรักษาการ

นอกจากนี้ การเจรจายังมีความซับซ้อน เนื่องจากสหรัฐฯโดยทรัมป์ ต้องการรวมการเจรจาทางการค้าเข้ากับประเด็นเรื่องปฏิญญาสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา ในขณะที่ไทยต้องการแยกประเด็นดังกล่าว สถานการณ์นี้ทำให้การเจรจาเป็นไปได้ยาก และ เชื่อว่ารัฐบาลปัจจุบันอาจไม่สามารถเจรจาให้จบได้ทันภายในสิ้นปีนี้ การที่การเจรจายังไม่ชัดเจนทำให้นักลงทุนทั้งไทย และต่างประเทศไม่กล้าลงทุน เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเจอภาษีเท่าใด