'ศุภจี' เสนออาเซียนเข้มงวดกฎถิ่นกำเนิดสินค้า - ป้องกันสวมสิทธิ์

24 ต.ค. 2568 | 11:27 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ต.ค. 2568 | 11:50 น.

ศุภจี รมว.พาณิชย์ ร่วมประชุมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เสนอร่วมมือด้านกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ป้องกันการถ่ายเทสินค้า เตรียมลงนามความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน–อาเซียน-จีน 3.0 ในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน 26 ต.ค.นี้

KEY

POINTS

  • นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เสนอในที่ประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ให้ชาติสมาชิกเพิ่มความเข้มงวดในกฎเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า (ROOs)
  • มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันปัญหาการสวมสิทธิ์ และการลักลอบถ่ายเทสินค้าผ่านประเทศที่สาม (transshipment)
  • เรียกร้องให้ปรับปรุงการปฏิบัติตามกฎให้มีความโปร่งใส สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อรักษาความเชื่อมั่นในห่วงโซ่การค้าของภูมิภาค

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 26 ในวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ว่าได้ร่วมการประชุมกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อกำหนดทิศทางการรวมกลุ่มและการเติบโตทางเศรษฐกิจท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว 

โดยจะเน้นเสริมความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจเพื่อรับมือความเสี่ยงจากภูมิเศรษฐศาสตร์ ซึ่งมีผลต่อห่วงโซ่การค้าและการส่งออกของอาเซียน 

นางศุภจี เปิดเผยว่า ไทยเน้นย้ำให้อาเซียนร่วมมือกันด้านเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อป้องกันปัญหาการสวมสิทธิ์ถ่ายเทสินค้าผ่านประเทศที่สาม (transshipment) และปรับปรุงการปฏิบัติตามกฎถิ่นกำเนิดสินค้า (ROOs) ให้โปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการรักษาความเชื่อมั่นและความเชื่อมโยงห่วงโซ่ทางการค้าของไทยในระยะยาว

ทั้งนี้ ไทยสนับสนุนการจัดทำและปรับปรุง FTA ให้รองรับการค้าสมัยใหม่ เพื่อขยายโอกาส ทางการค้าของไทย โดยเฉพาะกับตลาดอาเซียน จีน และอินเดีย โดยมีกำหนดจะร่วมลงนามความตกลง FTA สำคัญที่ปรับปรุงใหม่ 2 ฉบับ ได้แก่

  • ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (Upgraded ATIGA)
  • ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA 3.0)

ในช่วงการประชุมผู้นำอาเซียน ระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคม 2568 ซึ่งจะเสริมให้การค้ามีความสะดวกมากขึ้น ลดอุปสรรคด้านกฎเกณฑ์ให้กับการทำธุรกิจของภาคเอกชนพร้อมกันนี้ 

 

'ศุภจี' เสนออาเซียนเข้มงวดกฎถิ่นกำเนิดสินค้า - ป้องกันสวมสิทธิ์

 

นอกจากนี้ ไทยเน้นย้ำให้เร่งเจรจาทบทวน FTA ของอาเซียนกับอินเดียให้คืบหน้าและสามารถสรุปผลได้ภายในปีนี้ เพื่อขยายการค้าเข้าสู่ตลาดอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพใหม่ขนาดใหญ่กว่า 1,400 ล้านคน พร้อมกันนี้ได้ทราบความคืบหน้าการรับติมอร์-เลสเต เป็นสมาชิกลำดับที่ 11 ของอาเซียน ซึ่งจะเป็นโอกาสการขยายตลาดภายในภูมิภาคและเพิ่มโอกาสทางการค้าการลงทุนของไทย ตามแผนมาตรการเร่งด่วนในการบุกตลาดใหม่ของรัฐบาลด้วย

โดยผลลัพธ์การประชุมในครั้งนี้จะเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียน ระหว่างวันที่ 26 - 28 ตุลาคม 2568

นางศุภจี กล่าวว่า อาเซียนได้ผลักดันให้เป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนสำคัญ ในการสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันใหม่ของภูมิภาค ซึ่งรวมถึงเรื่องการลดการปล่อยคาร์บอน เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจภาคทะเล โดยไทยเน้นย้ำที่ประชุมถึงการลงมือดำเนินการให้เป็นรูปธรรม 

โดยจำเป็นต้องมีกลไกการประสานงานและการติดตามผลที่เป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินงานด้านความยั่งยืนของอาเซียนเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง 

 

'ศุภจี' เสนออาเซียนเข้มงวดกฎถิ่นกำเนิดสินค้า - ป้องกันสวมสิทธิ์

 

ทั้งนี้ อาเซียนเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก การขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง 4.8% ในปี 2567 และคาดการณ์ขยายตัว 4.3% ในปี 2568โดยมีการค้าภายในกลุ่มขยายตัว 8.9% ในปีที่ผ่านมา และการลงทุนภายในภูมิภาคขยายตัว 43.5%และการลงทุนจากภายนอกเพิ่มขึ้น 8.5% สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตของภูมิภาคท่ามกลางความผันผวนทางการค้าโลกใน

ปัจจุบันอาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับที่ 1 ของไทย โดยในปี 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 120,418 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยได้ดุลการค้าอาเซียน 20,013 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอาเซียน ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องคอมพิวเตอร์ และแผงวงจรไฟฟ้า 

 

'ศุภจี' เสนออาเซียนเข้มงวดกฎถิ่นกำเนิดสินค้า - ป้องกันสวมสิทธิ์

 

ขณะที่สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากอาเซียน ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า น้ำมันดิบ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ ตลาดสำคัญสำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย

 

'ศุภจี' เสนออาเซียนเข้มงวดกฎถิ่นกำเนิดสินค้า - ป้องกันสวมสิทธิ์