AMCHAM ชื่นชม 'คนละครึ่งพลัส' แนะรัฐบาล ดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐฯ

20 ต.ค. 2568 | 12:46 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ต.ค. 2568 | 12:50 น.

นายกฯ หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) พบนายกฯ ชม 'คนละครึ่งพลัส' Quick Big Win ผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐฯ เน้นย้ำรัฐบาลเดินหน้ายกระดับ “Ease of Doing Business” ด้วยยุทธศาสตร์ชัดเจน โปร่งใส

วันนี้ (20 ต.ค. 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นางไฮดี้ แกลแลนท์ กรรมการบริหารหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (The American Chamber of Commerce in Thailand: AMCHAM) และนางสาวอรกัญญา พิบูลธรรม รองประธาน AMCHAM นำผู้บริหารและบริษัทสมาชิก เข้าพบหารือนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับคำแนะนำและอุปสรรคของการดำเนินธุรกิจของบริษัทสหรัฐฯ ในประเทศไทย รวมถึงแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจของไทย 

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า บริษัทสมาชิกของ AMCHAM ที่เข้าร่วมครั้งนี้มีกว่า 30 บริษัท โดยมาจากหลากหลายสาขาธุรกิจ ทั้งด้านการเงิน อาทิ Bank of America, Citibank, MasterCard ด้านยานยนต์ อาทิ Ford Motor และ American Axle ด้านพลังงานและปิโตรเคมี อาทิ Chevron และ Dow Thailand ด้านอาหาร อาทิ Coca-Cola และ Ingredion ด้านสาธารณสุข อาทิ Pfizer, Johnson & Johnson, Viatris และด้านเทคโนโลยี อาทิ AWS, Western Digital, Meta เป็นต้น

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับคณะผู้แทนจาก AMCHAM ซึ่งวันนี้เป็นโอกาสอันดีในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการลงทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย โดยรัฐบาลมุ่งดำเนินงานอย่างเต็มที่เพื่อให้การลงทุนของภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น ผ่านการเสริมสร้างความโปร่งใส ปรับปรุงขั้นตอนการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ (Ease of Doing Business) และการลดอุปสรรคเชิงโครงสร้างต่าง ๆ พร้อมเปิดรับข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ด้านรองประธาน AMCHAM กล่าวว่า AMCHAM มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของสมาชิกที่เป็นบริษัทสหรัฐฯ ในไทย ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายแก่รัฐบาล รวมถึงยังมีผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยเสนอแนะมุมมองเชิงนานาชาติ และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลไทยให้สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจโลก โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะแรงงานไทย และเสนอแนะแนวทางการจัดทำนโยบายให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน นำไปสู่การดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐฯ และการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ AMCHAM ได้นำคณะผู้บริหารและบริษัทสมาชิกมาเข้าพบในครั้งนี้จากหลากหลายภาคธุรกิจ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย 

โอกาสนี้ AMCHAM ยังชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่แม้จะเพิ่งเข้ารับตำแหน่งในระยะเวลาไม่นาน แต่สามารถผลักดันนโยบายที่มีผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชนจำนวนมาก

ในการหารือครั้งนี้ ผู้แทนบริษัทเอกชนของสหรัฐฯ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนในไทย โดยตัวแทนในด้านการลงทุน กล่าวย้ำความมุ่งมั่นต่อการดำเนินธุรกิจในไทย และสนับสนุนผู้ประกอบการไทย พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง Data center ระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI และระบบคลาวด์ที่จำเป็นต้องอาศัยการผลิตฮาร์ดดิสก์และเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลที่มีเสถียรภาพสูง ซึ่งไทยมีศักยภาพและความโดดเด่นในด้านนี้ โดยพร้อมเดินหน้าร่วมมือกับรัฐบาลและ BOI เพื่อผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญของโลก

ด้านการเงิน ตัวแทนบริษัทด้านการเงินของสหรัฐฯ กล่าวสนับสนุนไทยในการยกระดับศักยภาพทางการเงินและการลงทุนสู่เวทีโลก โดยไทยมีพื้นฐานการตลาดทางการเงินที่แข็งแรง ทั้งตลาดหุ้นและตลาดธนบัตร พร้อมเสนอให้ไทยเร่งสร้างการรับรู้ในเวทีโลก และปรับปรุงอันดับในดัชนีการลงทุนสากล รวมถึงการผ่อนคลายกฎระเบียบและข้อจำกัดที่ เพื่อดึงดูดเงินทุนต่างประเทศ โดยภาคเอกชนสหรัฐฯ พร้อมทำงานกับรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ศูนย์กลางการเงินระดับภูมิภาค        

ด้านเทคโนโลยี ผู้แทนกล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัว Data Center Region แห่งใหม่ในประเทศไทย เมื่อต้นปี 2025 ซึ่งจะช่วยสร้างงานทักษะสูงกว่าหมื่นตำแหน่ง และเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย ทั้งยังขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนการลงทุนดิจิทัล พร้อมเสนอความร่วมมือ 3 ด้านหลัก ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ และการเจรจานโยบายดิจิทัลระหว่างประเทศ เพื่อผลักดันไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลก

ด้านพลังงาน ผู้แทนกล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญและพร้อมสนับสนุนบุคลากรไทยที่มีความสามารถอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และเห็นว่าไทยสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้อย่างมั่นคงผ่านการเสริมสร้างความต้องการใช้พลังงานภายในประเทศ การส่งเสริมการปฏิรูปด้านพลังงาน และการพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาด เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานอย่างยั่งยืน โดยบริษัทพร้อมยืนหยัดเคียงข้างและร่วมพัฒนาประเทศไทยให้เติบโตต่อไปอย่างมั่นคง

ด้านสาธารณสุข ผู้แทนภาคเอกชน กล่าวว่า ภาคเอกชนสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกับภาครัฐและประชาชนไทยในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทพร้อมสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการดูแลสุขภาพของภูมิภาค ผ่านความร่วมมือในด้านนวัตกรรมยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์

สำหรับด้านอาหาร ผู้แทนอุตสาหกรรมอาหารสหรัฐฯ กล่าวถึงการสร้างงานให้กับคนไทยอย่างต่อเนื่อง และมีความเชื่อมั่นในศักยภาพด้านอาหารและพืชผลเกษตรของประเทศไทย พร้อมสนับสนุนการพัฒนาซัพพลายเชนร่วมกับภาครัฐและ AMCHAM เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและมาตรฐานความยั่งยืน โดยเฉพาะการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนในประเทศ นอกจากนี้ บริษัทมุ่งแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีการผลิตอาหารและเกษตรสมัยใหม่ เพื่อช่วยเสริมสร้างความยั่งยืน และยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยสู่ระดับโลก

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลมีทิศทางและยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน โดยเร่งดำเนินงานตามแนวทาง “Quick Big Win” เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม การรับฟังข้อคิดเห็นและอุปสรรคจากภาคเอกชนสหรัฐฯ ครั้งนี้ช่วยให้รัฐบาลเข้าใจสภาพแวดล้อมทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น และสามารถปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี ความยั่งยืน และความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ทั้งนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าทำงานกระตุ้นเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ "เศรษฐกิจมูลค่าสูง (High-Value Economy)" ผ่านการยกระดับมาตรฐานกฎหมาย พร้อมเดินหน้าสร้างเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อรองรับการลงทุนในระยะยาวอย่างมั่นคงและยั่งยืน 

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณผู้บริหารและสมาชิก AMCHAM ที่สละเวลาเข้าร่วม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ในวันนี้ พร้อมย้ำว่ารัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะทั้งหมดและจะนำไปพิจารณาอย่างจริงจัง พร้อมกล่าวเน้นย้ำให้คำมั่นสัญญาว่า รัฐบาลพร้อมรับฟัง ปรับปรุง และเดินหน้าร่วมกับภาคเอกชนในฐานะพันธมิตรที่แท้จริง โดยเฉพาะกับมิตรประเทศสหรัฐอเมริกา และเชื่อมั่นว่า การหารือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และนำไปสู่ความสำเร็จร่วมกันระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในอนาคตต่อไป