เทศกาลกินเจ 2568 คาดเงินสะพัดเฉียด 4.6 หมื่นล้าน สูงสุดรอบ 5 ปี

16 ต.ค. 2568 | 07:38 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ต.ค. 2568 | 08:03 น.

ม.หอการค้าไทย คาดเทศกาลกินเจ ปี 2568 มีเงินสะพัดกว่า 45,903 ล้านบาท แม้จะสูงขึ้นเล็กน้อยแค่ 2% เพราะประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย แต่ก็เป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบ 5 ปี

KEY

POINTS

  • คาดการณ์ว่าเทศกาลกินเจปีนี้จะมีเงินสะพัดเกือบ 4.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงสุดในรอบ 5 ปี
  • แม้เงินสะพัดจะสูงสุด แต่เติบโตเพียง 2% เนื่องจากประชาชนยังคงระมัดระวังการใช้จ่ายเพราะมองว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี
  • ผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ (73.9%) มองว่าราคาอาหารเจในปีนี้แพงขึ้นกว่าปีก่อน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยว่า เทศกาลกินเจ ปี 2568 นี้ คาดว่าจะมีเงินสะพัดรวมทั้งสิ้น 45,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับกินเจปีก่อนที่มีเงินสะพัดที่ 45,003 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นมูลค่าสูงที่สุดในรอบ 5 ปี 

ทั้งนี้แม้ว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้น แต่ก็เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากประชาชาส่วนใหญ่ยังระมัดระวังการใช้จ่ายเนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ดี รวมทั้งเทศกาลกินเจปีนี้ยังไม่ได้รับผลจากโครงการคนละครึ่งที่จะเริ่มใช้เงินในวันที่ 29 ต.ค.2568

ขณะเดียวกัน พฤติกรรมและการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเทศกาลกินเจปี2568 จากการสำรวจ1,272 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 6 – 12 ต.ค.2568 ว่า คนส่วนใหญ่ 66% ไม่กินเจ มีการกินเจเพียง 34 % เหตุผลที่กินเจ เนื่องจากตั้งใจทำบุญ รองลงมา กินเฉพาะเทศกาล มีกินฟรีที่โรงเจ และมีคุณค่าทางอาหาร

สำหรับอาหารเจปีนี้ผู้ตอบส่วนใหญ่ 73.9% มองว่ามีราคาแพงขึ้น , 23.5 % มองว่าเท่าเดิม และ2.6% มองว่า ลดลง โดยคนที่กินเจ 7.1 % ระบุว่า มีการวางแผนเดินทางไปทำบุญตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย โดยมีมูลค่าเดินทางไปทำบุญเฉลี่ย5,066 บาท /คน ส่วนมูลค่าทำบุญเฉลี่ยอยู่ที่ 1,746 บาท/คน

นอกจากนี้ พฤติกรรมการใช้จ่ายกินเจปีนี้เทียบปีก่อน ในเชิงปริมาณการซื้อ ส่วนใหญ่ 52.8 % ตอบว่าซื้อในปริมาณที่เท่าเดิม ส่วนมูลค่าในการซื้อ ส่วนใหญ่ 47.0% ซื้อในมูลค่าเท่ากับปีก่อนเช่นกัน และมองว่าเทศกาลกินเจปีนี้คึกคักใกล้เคียงกับปปีก่อน

สำหรับแหล่งที่มาของเงินที่ใช้จ่ายกินเจ ส่วนใหญ่ 72.8% ใช้รายได้ประจำ ,15.2 % ใช้ เงินออม, 8.4 % ใช้ เงินคนในครอบครัว , 2.2 %ใช้เงินช่วยเหลือจากภาครัฐ และ1.4%นำ รายได้พิเศษมาใช้

นอกจากนี้ยังมีการสอบถามถึงความกังวลและเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไขเร่งด่วน พบว่าประชาชนกังวลและต้องการให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจและค่าครองชีพสูงมากที่สุด รองลงมาคือ ปัญหาหนี้สินครัวเรือน ,การว่างงานและความมั่นคงในอาชีพ การคอร์รัปชันในภาครัฐและเอกชน และปัญหายาเสพติด