เปิดเงื่อนไข ‘จ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วม’ 9,000 บาท ต้องเข้าเกณฑ์ 2 กรณี

06 ต.ค. 2568 | 11:16 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ต.ค. 2568 | 11:19 น.

เปิดเงื่อนไข ‘จ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วม’ครัวเรือนละ 9,000 บาท หลังนายกฯ ประชุม คอภ. นัดแรก สั่งเยียวยารวดเร็วที่สุด ต้องเข้าเกณฑ์ 2 กรณี เตรียมชง ครม.ไฟเขียว 14 ตุลาคม 2568

KEY

POINTS

  • เช็คข้อมูล 'จ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วม' ครัวเรือนผู้ประสบภัยในอัตรา 9,000 บาท หลังรัฐบาลอนุมัติใช้หลักเกณฑ์เดียวกับปี 2567
  • เงื่อนไขแรกคือ กรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
  • เงื่อนไขที่สองคือ กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 7 วัน

จ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งแรก

โดยที่ประชุมเห็นชอบให้มีการอุดหนุนเงินเยียวยาสำหรับครัวเรือน โดยใช้หลักการเดียวกับปีที่แล้ว เนื่องจากผู้ประสบภัยทุกคน ในอัตรา ครัวเรือนละ 9,000 บาท คาดว่าจะสามารถเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในวันที่ 14 ตุลาคม 2568 นี้

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้ได้เกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากแก่ทรัพย์สินและชีวิตของพี่น้องประชาชน

ประกอบกับในช่วงสัปดาห์นี้ ประเทศไทยยังได้รับอิทธิพลจากพายุแมตโม นับตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมเป็นต้นไปจะเป็นห้วงฤดูมรสุมในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งอาจจะมีฝนตกหนัก และฝนตกสะสม ก่อให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งได้ในหลายพื้นที่

รัฐบาลมีความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มที่เกิดขึ้น ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้กระจายกันลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ เพื่อติดตามสถานการณ์การ ให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัย พร้อมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัย

ดังนั้นในการประชุมในวันนี้เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัย การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย การประเมินแนวโน้มสถานการณ์ และการหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการร่วมพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาให้ผู้ประสบภัยให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ บูรณาการกับทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ

เช็คเงื่อนไขจ่ายเงินเยียวยา 9,000 บาท

สำหรับในส่วนของแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ที่ประชุมมีมติหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 เช่นเดียวกันกับปี 2567 ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละ 9,000 บาท ในกรณีต่าง ๆ ดังนี้

  • กรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
  • กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 7 วัน

ทั้งนี้เป็นการช่วยเหลือเยียวยาระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 6 ตุลาคม 2568 มีทั้งสิ้น 685,554 ครัวเรือน ครัวเรือนละ 9,000 เป็นเงิน 6,169.986 ล้านบาท

นายกฯ สั่งการเร่งด่วน 7 ข้อ

นายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการว่า เนื่องจาก ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างมาก และยังคงมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ที่สำคัญ ช่วงวันที่ 9-13 ตุลาคม 2568 จะมีน้ำทะเลหนุน และอาจมีฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่งผลต่อการระบายน้ำในช่วงดังกล่าว จึงมีความจำเป็นในการบริหารจัดการน้ำ ดังนี้

1. ให้ กรมชลประทาน คงการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาไว้ที่ไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตร/วินาที

2. ลดการระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และเขื่อนพระรามหก ลง 100 ลบ.ม/วินาที

3. ให้ กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ผ่านคลองชัยนาท - ป่าสัก

  • เพิ่มการระบายน้ำที่ประตูระบายน้ำมโนรมย์ ให้เต็มศักยภาพที่ 210 ลูกบาศก์เมตร/วินาที
  • ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการใช้เครื่องผลักดันน้ำเพิ่มการระบายน้ำ ประตูระบายน้ำ ทางระบายน้ำ พระนารายณ์ผ่านคลอง 8-16 ผ่านคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต และคลองลาดกระบัง โดยกำหนดจุดติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเสริมในบริเวณคอคอด
  • ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมทุกสถานีสูบส่วนบริเวณปากคลอง และให้เร่งสูบออกอ่าวไทย ให้เหมาะสมกับจังหวะน้ำทะเลลง

4. ระบายน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ผ่านแม่น้ำท่าจีน แบ่งเป็น

  • ให้กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำผ่านคลองฝั่งตะวันออกแม่น้ำท่าจีน และใช้คลองย่อยเดิมรับน้ำจากทุ่งด้านบนระบายน้ำลงคลองภาษีเจริญเพื่อทำหน้าที่เป็นคลองลัดเสริมการระบายน้ำ
  • ให้กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำผ่านคลองย่อยของแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก เสริมการระบายน้ำลงอ่าวไทย
  • ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการใช้เครื่องผลักดันน้ำเพิ่มการระบายน้ำ โดยกำหนดจุดติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเสริมในบริเวณคอคอด

5. ให้สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร เพิ่มการระบายน้ำผ่านกรุงเทพมหานคร บางส่วนอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยลดปริมาณน้ำท่วมสะสมในทุ่งเจ้าพระยา และ ต้องไม่ส่งผลกระทบกับกรุงเทพมหานคร

6. เพิ่มการรับน้ำเข้าทุ่งฝั่งซ้าย คลองชัยนาท-ป่าสัก (รับน้ำได้อีก 70 ล้าน ลบ.ม.) และทุ่งรับน้ำท่าวุ้ง ลพบุรี (รับน้ำได้อีก 22 ล้าน ลบ.ม.) มีศักยภาพการรับน้ำ ได้มากกว่าร้อยละ 80

7. บรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่บางบาล ไปยังทุ่งบางกุ้ง พระนครศรีอยุธยา (รับน้ำได้อีก 4.7 ล้าน ลบม.)