KEY
POINTS
จ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งแรก
โดยที่ประชุมเห็นชอบให้มีการอุดหนุนเงินเยียวยาสำหรับครัวเรือน โดยใช้หลักการเดียวกับปีที่แล้ว เนื่องจากผู้ประสบภัยทุกคน ในอัตรา ครัวเรือนละ 9,000 บาท คาดว่าจะสามารถเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในวันที่ 14 ตุลาคม 2568 นี้
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้ได้เกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากแก่ทรัพย์สินและชีวิตของพี่น้องประชาชน
ประกอบกับในช่วงสัปดาห์นี้ ประเทศไทยยังได้รับอิทธิพลจากพายุแมตโม นับตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมเป็นต้นไปจะเป็นห้วงฤดูมรสุมในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งอาจจะมีฝนตกหนัก และฝนตกสะสม ก่อให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งได้ในหลายพื้นที่
รัฐบาลมีความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มที่เกิดขึ้น ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้กระจายกันลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ เพื่อติดตามสถานการณ์การ ให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัย พร้อมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัย
ดังนั้นในการประชุมในวันนี้เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัย การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย การประเมินแนวโน้มสถานการณ์ และการหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการร่วมพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาให้ผู้ประสบภัยให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ บูรณาการกับทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับในส่วนของแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ที่ประชุมมีมติหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 เช่นเดียวกันกับปี 2567 ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละ 9,000 บาท ในกรณีต่าง ๆ ดังนี้
ทั้งนี้เป็นการช่วยเหลือเยียวยาระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 6 ตุลาคม 2568 มีทั้งสิ้น 685,554 ครัวเรือน ครัวเรือนละ 9,000 เป็นเงิน 6,169.986 ล้านบาท
นายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการว่า เนื่องจาก ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างมาก และยังคงมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ที่สำคัญ ช่วงวันที่ 9-13 ตุลาคม 2568 จะมีน้ำทะเลหนุน และอาจมีฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่งผลต่อการระบายน้ำในช่วงดังกล่าว จึงมีความจำเป็นในการบริหารจัดการน้ำ ดังนี้
1. ให้ กรมชลประทาน คงการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาไว้ที่ไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตร/วินาที
2. ลดการระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และเขื่อนพระรามหก ลง 100 ลบ.ม/วินาที
3. ให้ กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ผ่านคลองชัยนาท - ป่าสัก
4. ระบายน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ผ่านแม่น้ำท่าจีน แบ่งเป็น
5. ให้สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร เพิ่มการระบายน้ำผ่านกรุงเทพมหานคร บางส่วนอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยลดปริมาณน้ำท่วมสะสมในทุ่งเจ้าพระยา และ ต้องไม่ส่งผลกระทบกับกรุงเทพมหานคร
6. เพิ่มการรับน้ำเข้าทุ่งฝั่งซ้าย คลองชัยนาท-ป่าสัก (รับน้ำได้อีก 70 ล้าน ลบ.ม.) และทุ่งรับน้ำท่าวุ้ง ลพบุรี (รับน้ำได้อีก 22 ล้าน ลบ.ม.) มีศักยภาพการรับน้ำ ได้มากกว่าร้อยละ 80
7. บรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่บางบาล ไปยังทุ่งบางกุ้ง พระนครศรีอยุธยา (รับน้ำได้อีก 4.7 ล้าน ลบม.)