รัฐบาลเร่งแจกเงินไร่ละ 1,000 บาท 4.63 ล้านครัวเรือน ลุยแก้ราคาข้าวตกต่ำ

30 ก.ย. 2568 | 06:06 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ต.ค. 2568 | 03:25 น.

'ศุภจี' รมว.พาณิชย์ เผย 5 หลักการดูแลสินค้าเกษตร เน้นแก้ปัญหาข้าวราคาตกต่ำ เร่งอัดมาตรการสั้น 4 เดือน ลดต้นทุน ชะลอขายข้าวเปลือก ดันส่งออก G2G เปิดตลาดใหม่ตะวันออกกลาง–ยุโรป

KEY

POINTS

  • ดำเนินมาตรการลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร เช่น โครงการช่วยค่าปุ๋ย และช่วยเหลือเงินโดยตรงครัวเรือนละ 1,000 บาท
  • ใช้มาตรการชะลอการขายข้าวเปลือกในประเทศ โดยอนุมัติสินเชื่อเพื่อดึงอุปทานออกจากตลาดประมาณ 3 ล้านตัน
  • เร่งผลักดันการส่งออกเชิงรุกผ่านการเจรจาแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) กับจีนและสิงคโปร์ พร้อมขยายตลาดใหม่ในซาอุดีอาระเบียและยุโรป

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลุกขึ้นชี้แจงต่อสมาชิกรัฐสภา ถึง ทิศทางและแผนงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาวในการขับเคลื่อนภาคเกษตรของประเทศ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยได้มีการแผนงาน 5 หลักการสำคัญ ในการดูแลสินค้าเกษตร อาทิ การประเมินอุปสงค์อุปทานล่วงหน้าโดยใช้ Data AI การบริหารจัดการตามสถานการณ์ (เช่น ปัญหาน้ำท่วม) และการผลักดันการส่งออกไปยังลูกค้าเดิมและหาศักยภาพใหม่ พร้อมผสมผสานการแปรรูป รวมถึงการกำหนดมาตรการนำเข้าที่เข้มข้นสำหรับสินค้าไม่ได้มาตรฐานและสินค้าที่มาจากการเผาซึ่งเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม 

นางศุภจี เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการระยะสั้น 4 เดือน กระทรวงพาณิชย์มุ่งเน้นการแก้ปัญหาราคาโดยการลดปริมาณซัพพลายในตลาด และลดภาระของเกษตรกร ได้แก่

  • ลดต้นทุนการผลิต (โครงการธงเขียว) ช่วยลดต้นทุนการซื้อปุ๋ยให้เกษตรกร เพื่อลดต้นทุนในการผลิต 
  • ชะลอการขายในประเทศ มีการอนุมัติสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกเพื่อดูดซับซัพพลายไว้ในระบบแล้วประมาณ 3 ล้านตัน
  • ช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรง มีมาตรการช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 4.63 ล้านครัวเรือน และมีการอนุมัติงบประมาณแล้ว 
  • เร่งการส่งออกเชิงรุก อาทิ การผลักดัน การทำสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ G2G ระหว่างไทยกับจีน โดยทางกระทรวงฯ ตั้งใจจะผลักดันให้จีนสั่งซื้อข้าว G2G เพิ่มจากข้อตกลงเดิมที่ 280,000 ตัน เป็น 500,000 ตัน

ขณะเดียวกัน จะเร่งทำ MOU ล็อกโควตา โดยกระทรวงฯ กำลังเร่งเจรจา MOU กับญี่ปุ่น เพื่อล็อกโควตาข้าว 300,000 ตัน เนื่องจากญี่ปุ่นมีข้อตกลงต้องนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 75% ซึ่งอาจมาเบียดบังโควตาของไทยได้ 

นอกจากนี้ มีแผนเจรจา G2G กับสิงคโปร์ จากเดิมที่ค้าขายแบบเอกชนต่อเอกชน (P2P) กำลังพยายามเจรจา G2G เพื่อให้ได้ปริมาณการค้าที่แน่นอนและคาดการณ์ได้มากขึ้น รวมถึงขยายตลาดศักยภาพ เร่งเปิดตลาดใหม่ โดยมีเป้าหมาย อาทิ ซาอุดีอาระเบีย ฮ่องกง และยุโรป

นางศุภจี กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ข้าวโลก มีการผลิตและการบริโภคใกล้เคียงกันที่ 541 ล้านตัน แต่สต็อกข้าวโลกปัจจุบันอยู่ที่ 187.3 ล้านตัน ซึ่งมีความไม่สมดุลของอุปสงค์อุปทาน ปริมาณล้นตลาด โดยเฉพาะอินเดีย ยังมีข้าวค้างสต็อกอีก20 ล้านตัน ที่กำลังเร่งส่งออกในซึ่งสร้างแรงกดดันต่อราคาข้าวโลก

สำหรับประเทศไทยมีผลผลิตข้าวรวม 25.3 ล้านตัน โดยผลผลิตปีนี้ 21.8 ล้านตัน บวกสต็อกปีก่อน 3.5 ล้านตัน เมื่อแยกประเภทข้าวออกพบว่า ข้าวหอมมะลิ 6.8 ล้านตัน ยังสามารถกระจายได้ดีทั้งในและนอกประเทศ แต่เมื่อหักลบปริมาณบริโภคในประเทศ 7.4 ล้านตัน โควตาส่งออก 5.9 ล้านตัน สำรองเพื่อความมั่นคง 2.5 ล้านตัน และเมล็ดพันธุ์ 0.9 ล้านตัน ปัญหาที่ต้องจัดการในทันทีจึงอยู่ที่ข้าวส่วนเกินปริมาณ 1.8 ล้านตัน

สำหรับการแก้ปัญหาราคาระยะยาว เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าว จำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างการผลิต โดยมีแนวทาง 3 ด้าน 

  • ปลูกพืชมูลค่าสูงตามความต้องการตลาดโลก
  • เพิ่มผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่
  • ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการ

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงดำเนินมาตรการเฉพาะสำหรับพืชผลอื่น ๆ เช่น เน้นการแปรรูปสำหรับ มันสำปะหลัง การกำหนดราคารับซื้อสำหรับ ปาล์มน้ำมันและการควบคุมการนำเข้าเพื่อแก้ปัญหา PM 2.5 สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การผลักดันมาตรการเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และไม่ต้องพึ่งพิงบริบทโลกที่ควบคุมไม่ได้หลายเรื่อง เช่น สภาวะภูมิอากาศ