'เอกนิติ-วิทัย' เดิมพันเพื่อนซี้ประสานนโยบายการคลัง-การเงิน ฟื้นเศรษฐกิจ

15 ก.ย. 2568 | 08:49 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ก.ย. 2568 | 09:02 น.

การมาของเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ในฐานะรัฐมนตรีการคลัง และวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจไทยหรือไม่ เป็นเรื่องที่หลายฝ่ายต่างจับตามอง

การแต่งตั้ง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายวิทัย รัตนากร เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่เพียงเป็นการจัดวางคนที่มีความสามารถเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญ แต่ยังเป็นการรวมตัวของสองมิตรสหายที่มีพื้นฐานความคิดเหมือนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ความสัมพันธ์ระหว่างเอกนิติและวิทัยเริ่มต้นจากห้องเรียนเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ทั้งคู่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งสองได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง สร้างความเข้าใจร่วมกันในการมองปัญหาและแนวทางแก้ไขที่สอดคล้องกัน

เอกนิติ ผู้มีประสบการณ์การศึกษาระดับสูงจากสหรัฐอเมริกา ทั้งปริญญาโทจาก University of Illinois at Urbana-Champaign และปริญญาเอกสาขา Macroeconomics and International Finance จาก Claremont Graduate University มาพร้อมกับความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคและการเงินระหว่างประเทศ

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ

ขณะที่วิทัย ซึ่งมีพื้นฐานการศึกษาที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งเศรษฐศาสตร์ กฎหมายธุรกิจ และการเงิน จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ และปริญญาโท 3 ใบ ในสาขาต่าง ๆ ทางด้านเศรษฐศาสตร์ คือ ปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ปริญญาโท การเงิน Drexel University, U.S.A., ปริญญาโท กฎหมายธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ปริญญาโท เศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ความคิดเห็นของเอกนิติในหนังสือ "โดมิโนเอฟเฟคต์ ทางรอดเศรษฐกิจไทยบนเส้นด้ายวิกฤตโลก" ที่เขียนเมื่อปี 2552 สะท้อนแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับความจำเป็นในการประสานงานระหว่างนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน ซึ่งตรงกับประสบการณ์ที่วิทัยได้สั่งสมมาจากการทำงานในหลากหลายสถาบันการเงิน

เอกนิติเคยชี้ให้เห็นว่า "รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจทุกอย่างมาสอดประสานต้านวิกฤติในอนาคต โดยเฉพาะนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจหดตัวและปัญหาเสถียรภาพเศรษฐกิจ"

แนวคิดนี้สอดคล้องกับประสบการณ์ของวิทัยในการแก้ไขปัญหาธนาคารอิสลามที่สามารถพลิกจากขาดทุน 3,410 ล้านบาทในปี 2559 มาเป็นกำไร 671 ล้านบาทในปี 2561 ผ่านการใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายและประสานงานกัน

หรือการเข้าเป็น CFO ของบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) นายวิทัย ได้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท สายการบินนกแอร์ที่ประสบปัญหาขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง จนกลับมามีกำไรได้ภายใน 2 ปี และสามารถนำหุ้นของบริษัท สายการบินนกแอร์ เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในปี 2556

การวิเคราะห์ของเอกนิติเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างนโยบายการคลังและการเงินมีความสำคัญต่อการออกแบบมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เขาอธิบายว่านโยบายการคลังสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้โดยตรงผ่านการจัดเก็บภาษีและการใช้จ่ายภาครัฐ ไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ

"การลดภาษีจะสามารถทำให้เงินในกระเป๋าของประชาชนหรือธุรกิจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้โดยตรง" เอกนิติกล่าว ขณะเดียวกันการเพิ่มรายจ่ายของรัฐบาลก็สามารถอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ทันที

ในทางตรงกันข้าม นโยบายการเงินต้องดำเนินการผ่านสถาบันการเงิน ซึ่งความสำเร็จขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของตลาดและความเต็มใจของธนาคารพาณิชย์ในการปรับดอกเบี้ย รวมถึงความต้องการของลูกค้าที่จะมากู้เงิน

วิทัยซึ่งมีประสบการณ์ตรงในการบริหารสถาบันการเงิน เข้าใจดีถึงขีดจำกัดและโอกาสของนโยบายการเงิน ประสบการณ์ในการบริหารกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการที่มีสินทรัพย์กว่าล้านล้านบาท ทำให้เขาเข้าใจถึงความสำคัญของการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินขณะเดียวกันกับการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

นายวิทัย รัตนากร

หนึ่งในจุดเด่นของการวิเคราะห์ของเอกนิติคือการเน้นย้ำถึงความสามารถของนโยบายการคลังในการเจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน "นโยบายการคลังสามารถกำหนดกลุ่มคนหรือกลุ่มธุรกิจที่ต้องการให้ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายได้อย่างชัดเจน" เขาอธิบาย

แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นในผลงานของวิทัยที่ธนาคารออมสินในการปรับธนาคารให้เป็น "ธนาคารเพื่อสังคม" โดยสร้าง Social Impact ได้มากกว่า 13 ล้านคน จาก 18.8 ล้านบัญชี คิดเป็นเม็ดเงิน 1.4 ล้านล้านบาท ผ่านการเจาะจงช่วยเหลือคนฐานราก Financial Inclusion และการแก้ไขปัญหาหนี้สิน

การที่ธนาคารออมสินสามารถช่วยเหลือบรรเทาภาระหนี้ 6.4 ล้านราย ผ่านโครงการต่างๆ รวมถึงการปลดหนี้ลูกหนี้รายย่อยช่วงโควิดกว่า 1.3 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้รวมกว่า 11,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่ม

เอกนิติเน้นย้ำถึงความสำคัญของ "ตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจ" (Multiplier Effect) โดยเฉพาะการจ่ายเงินตรงไปที่ผู้มีรายได้น้อย "เมื่อคนจนได้รับเงินแล้ว มักจะไม่เก็บไว้เฉยๆ แต่จะนำเงินไปซื้อของกินของใช้เพื่อประทังชีวิต ซึ่งจะต่างกับคนรวยที่หากได้รับเงินจากรัฐบาล อาจจะเก็บออมไว้เฉยๆ ทำให้เม็ดเงินหมุนได้น้อยรอบ"

หลักการนี้เป็นรากฐานของการดำเนินงานของธนาคารออมสินภายใต้การนำของวิทัย ที่มุ่งเน้นการให้บริการแก่กลุ่มฐานราก ผ่านสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพที่มีผู้ได้รับอนุมัติแล้วกว่า 340,000 ราย วงเงินกว่า 6,000 ล้านบาท

ด้านวิทัยเคยแสดงความคิดเห็นว่า "ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยขาดความสมดุล สถาบันการเงินแข็งแรงมาก มีกำไร ขณะที่ภาคธุรกิจมีหนี้สิน ปิดกิจการ ยอดหนี้ครัวเรือนสูง คนยากจน มีความเหลื่อมล้ำสูง โดยส่วนตัวคิดว่าภาวะลักษณะนี้ไม่ใช่ภาวะปกติ"

การมองเห็นปัญหานี้สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของเอกนิติเกี่ยวกับความจำเป็นในการใช้มาตรการแบบเป็นแพ็กเกจ "การลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีหลากหลายมาตรการมาเสริมลักษณะเป็นแพ็กเกจ และต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย" วิทัยกล่าว

เอกนิติชี้ให้เห็นว่านโยบายการเงินแม้จะมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยกว่านโยบายการคลังในช่วงเศรษฐกิจหดตัว แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพคล่องให้ระบบเศรษฐกิจ "การเพิ่มปริมาณเงินของแบงก์ชาติจะสามารถช่วยให้รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายขาดดุลโดยที่ไม่ต้องมาแย่งเงินกับภาคเอกชน"

การทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยภายใต้การนำของเอกนิติและวิทัย จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดการประสานงานที่ไร้รอยต่อ เนื่องจากทั้งสองมีความเข้าใจร่วมกันในเรื่องจุดแข็งและข้อจำกัดของเครื่องมือนโยบายแต่ละประเภท

ประสบการณ์ของวิทัยในการแปลงธนาคารออมสินให้เป็นธนาคารเพื่อสังคม พร้อมทั้งรักษาความแข็งแกร่งทางการเงิน (เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.83% และเงินสำรองรวม 130,000 ล้านบาท) แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างภารกิจเชิงสังคมและความมั่นคงทางการเงิน

ขณะเดียวกัน ความเชี่ยวชาญของเอกนิติในด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคและการเงินระหว่างประเทศ จะช่วยให้การกำหนดนโยบายการคลังมีความสอดคล้องกับสภาพการณ์เศรษฐกิจโลกและสามารถรับมือกับความผันผวนจากปัจจัยภายนอกได้

การมาพร้อมของสองมิตรสหายธรรมศาสตร์ในตำแหน่งกุญแจของการบริหารเศรษฐกิจไทย จึงเป็นเดิมพันครั้งสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่มีเอกภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโครงสร้างที่ต้องอาศัยการประสานงานระหว่างนโยบายการคลังและการเงินอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเป็นการทดสอบที่แท้จริงของแนวคิดที่ทั้งสองได้หล่อหลอมร่วมกันมาตั้งแต่วัยรุ่น