KEY
POINTS
สมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง–ค้าปลีกไทย แสดงความเห็นต่อมาตรการระงับบัญชีชั่วคราวที่ใช้สกัดบัญชีม้าและอาชญากรรมทางการเงินว่า แม้มีเจตนาดี แต่การบังคับใช้อย่างกว้างขวางและเร่งรีบกลับสร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการสุจริตและประชาชนทั่วไปอย่างรุนแรง
ยกตัวอย่างกรณีผู้ประกอบการทั้งรายกลางและรายใหญ่ที่ถูกระงับบัญชีหลายสิบบัญชีพร้อมกัน โดยต้องเสียเวลาและต้นทุนในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ขณะที่คู่ค้า–ซัพพลายเออร์ได้รับผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและเครดิตทางการเงิน เขามองว่านี่คือความเสียหายที่ “ไม่ควรเกิดขึ้น” หากหน่วยงานกำกับและธนาคารตรวจสอบให้รอบด้านก่อนใช้อำนาจสั่งบล็อก
“มาตรการในปัจจุบันเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เพราะปัญหาจริงอยู่ที่ต้นทางของการเปิดบัญชีและการขายหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ หากควบคุมตรงนี้ได้ ปัญหาจะไม่ลุกลามมาถึงประชาชนสุจริต"
ขณะเดียวกัน สมชายยังวิจารณ์ว่า ธนาคารจำนวนมากเลือก “ตัดบัญชีแล้วจบ” แทนที่จะลงแรงตรวจสอบก่อน จนกลายเป็นการผลักภาระให้ผู้ประกอบการต้องดิ้นรนหาเงินสดกู้ยืมมาหมุนเวียน เขาอธิบายว่าผู้ประกอบการหลายรายต้องกู้เงินนอกระบบหรือหยิบยืมญาติพี่น้อง เพื่อประคองธุรกิจระหว่างถูกระงับบัญชี เป็นต้นทุนที่ไม่ควรเกิดขึ้นและกระทบชื่อเสียงทางการเงินอย่างรุนแรง
เขาย้ำว่า “ธนาคารต้องทำงานหนักขึ้น” ไม่ใช่เพียงตัดง่าย ๆ แล้วปล่อยให้ผู้ประกอบการแก้ปัญหาเอง พร้อมเสนอให้มีระบบติดต่อ–สอบถามหรือเรียกเจ้าของบัญชีมาให้ข้อมูลก่อนสั่งระงับ เพื่อให้กระบวนการเป็นธรรมและลดผลกระทบต่อผู้สุจริต
อย่างไรก็ตาม มาตรการระงับบัญชีจำเป็นต้อง “ยกระดับการตรวจสอบก่อน” และ “จัดการที่ต้นเหตุ” โดยเฉพาะการคุมเข้มบัญชีม้าและการขายซิมการ์ด ไม่ใช่ปล่อยให้คนสุจริตต้องกลายเป็นเหยื่อของระบบที่หวังแก้ปัญหาแต่กลับสร้างภาระใหม่ให้เศรษฐกิจแทน
ในมุมต่อมาตรการเศรษฐกิจ สมชายมองว่าโครงการ “คนละครึ่ง” ยังมีประโยชน์ต่อการกระตุ้นกำลังซื้อ แต่หากระบบการโอนเงินยังสร้างความไม่มั่นใจ ย่อมกระทบการใช้จ่าย เขาเสนอว่ารัฐควรพิจารณาเติมเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ตรงเป้าฐานล่างมากกว่า เพราะเงินจะกระจายลงร้านค้าชุมชนจริง ๆ อีกทั้งยังเตือนว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมวันนี้ “กระเป๋าแห้งและวิตกกังวลสูง” การออกมาตรการใด ๆ ต้องรอบคอบ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งซ้ำเติมภาระของประชาชน