ดีเดย์ 1 ต.ค. 68! ปลดล็อก 4 หมื่นแรงงานเมียนมาในศูนย์พักพิง

13 ก.ย. 2568 | 04:38 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ก.ย. 2568 | 04:38 น.

1 ต.ค.นี้ รัฐเปิดทางแรงงานเมียนมาจากศูนย์พักพิง 9 แห่ง กว่า 4 หมื่นคน ขึ้นทะเบียนทำงานทดแทนแรงงานขาดแคลนในภาคกลางและตะวันออก ไม่เกิน 1 ปี

หลังคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติอนุญาตให้ผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมา (ผภร.) ที่พักอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง สามารถออกไปทำงานได้เป็นเวลาไม่เกิน 1 ปี โดยมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในระหว่างนี้ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังหารือถึงกระบวนการขึ้นทะเบียนแรงงาน ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 40,000 คน

เบื้องต้นแรงงานทุกคนต้องขึ้นทะเบียนกับกรมการปกครอง และยังคงมีสิทธิพักอาศัยในศูนย์พักพิง หากประสงค์จะออกไปทำงานนอกศูนย์ฯ ต้องยื่นขออนุญาตต่อนายอำเภอ เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว สำนักงานจัดหางานจังหวัดจะทำการคัดกรองทักษะ เช่น ช่างไม้ ช่างปูน ช่างสี หรือแรงงานไร้ฝีมือ ก่อนที่จะมีการจับคู่กับนายจ้างและทำสัญญาจ้างงาน

ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่กระบวนการทำสัญญา แรงงานจะต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพและจัดทำประกันสุขภาพ จากนั้นจัดหางานจังหวัดจะดำเนินการออกใบอนุญาตทำงานและส่งต่อไปยังอำเภอปลายทาง โดยแรงงานสามารถทำงานได้สูงสุด 1 ปีตามสัญญา

เมื่อครบกำหนดต้องกลับมายังศูนย์พักพิง หากเป็นสัญญาระยะสั้น เช่น 3 เดือน ก็ต้องกลับเข้าสู่ศูนย์เมื่อครบกำหนด และหากนายจ้างยังต้องการแรงงานต่อเนื่อง ต้องยื่นคำร้องใหม่ตามขั้นตอน

ดีเดย์ 1 ต.ค. 68! ปลดล็อก 4 หมื่นแรงงานเมียนมาในศูนย์พักพิง

นายชำนาญวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของแรงงานที่ส่วนใหญ่ไม่มีรายได้ ค่าธรรมเนียมในการขึ้นทะเบียนจะได้รับการยกเว้น ยกเว้นเพียงค่าตรวจสุขภาพที่ยังคงเป็นภาระซึ่งต้องให้ลูกจ้างและนายจ้างตกลงกันเอง โดยกระทรวงแรงงานได้ปรับลดค่าธรรมเนียมในส่วนอื่นแล้ว

สำหรับศูนย์พักพิงที่เปิดให้แรงงานเข้าสู่ระบบการทำงานมีจำนวน 9 แห่ง ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี โดยแรงงานที่ได้รับอนุญาตจะถูกส่งไปเสริมกำลังในพื้นที่ที่ขาดแคลนแรงงานมาก

โดยเฉพาะภาคกลางและภาคตะวันออก เช่น จังหวัดระยอง และจันทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมและการเกษตรสำคัญ ทั้งนี้ยังมีข้อจำกัดว่าแรงงานต่างด้าวจะไม่สามารถทำงานในอาชีพที่กฎหมายห้ามหรือสงวนไว้สำหรับคนไทยได้

มาตรการดังกล่าวจึงเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในบางพื้นที่ ขณะเดียวกันยังเป็นการจัดการแรงงานที่อยู่ในศูนย์พักพิงให้เป็นระบบ ลดความเสี่ยงต่อการทำงานผิดกฎหมาย และสร้างประโยชน์ทั้งต่อแรงงานและภาคธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน