คุณภาพการศึกษาไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในยุคดิจิทัลและการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ ประธานกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย กรรมการสภาวิทยาลัยรามคำแหง และรักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ให้สัมภาษณ์ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่าโจทย์ใหญ่ที่สุดของการศึกษาไทยไม่ได้อยู่ที่การผลิตบัณฑิตไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน แต่อยู่ที่ คุณภาพการศึกษา ที่ยังไม่สามารถสร้างบัณฑิตให้มีคุณสมบัติที่จำเป็นต่อการทำงานและการดำรงชีวิตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ปัญหาการผลิตบัณฑิตไม่ตรงกับตลาดแรงงาน เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมาโดยตลอด แต่ไม่ใช่ปัญหาหลัก เพราะตลาดแรงงานสามารถปรับตัวได้เอง ขณะที่มหาวิทยาลัยไม่อาจบังคับให้นักศึกษาเลือกเรียนเฉพาะสาขาที่ตลาดต้องการจริง ๆ ได้ เพราะในที่สุดแล้วเด็กก็มีอิสระในการเลือกเรียน และประเทศไทยเองก็ไม่ได้มีระบบรวมศูนย์อำนาจเข้มงวดแบบบางประเทศ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือ คุณภาพการศึกษา ที่ยังไม่สามารถสร้างบัณฑิตให้มีทักษะคิดวิเคราะห์ ความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ผศ.วุฒิศักดิ์ หยิบยกรายงานขององค์การยูเนสโก (UNESCO) ว่าสะท้อนให้เห็นถึงปัญหานี้ โดยชี้ว่า เด็กไทยไม่ค่อยตั้งคำถามในชั้นเรียน ส่งผลให้ขาดการวิพากษ์วิจารณ์และการเรียนรู้ด้วยตนเองเมื่ออยู่นอกห้องเรียน อีกทั้งยังขาดความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้
ปัจจุบันนักเรียนอ่านหนังสือน้อยลง หันไปพึ่งพาข้อมูลสั้น ๆ จากโซเชียลมีเดียแทนการค้นคว้าอย่างลึกซึ้ง ยิ่งทำให้เห็นว่าระบบการศึกษายังไม่สามารถปลูกฝังวินัยการอ่านและการคิดต่อยอดได้อย่างแท้จริง
ในมุมของข้อเสนอเชิงนโยบาย ผศ.วุฒิศักดิ์ ย้ำว่า ภาครัฐและสถาบันการศึกษาจำเป็นต้องเน้นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและการคิดต่อยอดให้แก่ผู้เรียน
การศึกษาควรไม่หยุดอยู่ที่การท่องจำ แต่ต้องสร้างวินัยในการอ่านหนังสือและแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยก็ต้องเร่งปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ด้วยการพัฒนาทักษะดิจิทัล (Digital Literacy) อย่างเป็นระบบ และควรจัดตั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่วัดความสามารถด้านดิจิทัลของนักศึกษา เพื่อยกระดับไปสู่การสร้างนวัตกรรมได้จริง เพราะในปัจจุบันนวัตกรรมในวงการศึกษาไทยยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ ผลกระทบจาก AI และระบบอัตโนมัติ (Automation) ต่อโลกการทำงานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้คนจำเป็นต้องได้รับการ Upskill และ Reskill อยู่ตลอดเวลา เพื่อปรับตัวให้เข้ากับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ที่สำคัญคือต้องเรียนรู้ที่จะเป็นนายของ AI ไม่ใช่ปล่อยให้ AI มาควบคุมวิถีชีวิตและการทำงานแทนคน
ในด้านปัญหาการว่างงานของบัณฑิต โดยเฉพาะในกลุ่มสังคมศาสตร์ แม้จะยังคงเป็นประเด็น แต่ในมุมมองของ ผศ.วุฒิศักดิ์ มองว่า ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ เพราะบัณฑิตสามารถปรับตัวไปสู่อาชีพอื่นได้ ปัญหาการว่างงาน จึงสะท้อนภาพเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่าที่จะเป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษาโดยตรง
ส่วนพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ Gen Z ก็ยังเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายกังวล เพราะมักหางานที่สร้างรายได้เร็ว ขาดความอดทนในการทำงานระยะยาว และมีแนวโน้มเปลี่ยนงานบ่อย อีกทั้งยังพึ่งพาข้อมูลสั้น ๆ จากโซเชียลมีเดียมากกว่าการอ่านหนังสือ
ผศ.วุฒิศักดิ์ ยังสะท้อนบทบาทของผู้ประกอบการและการแข่งขันในระดับภูมิภาค โดยชี้ว่า ในสายวิชาชีพ เช่น ช่างรังสีเทคนิค หรือวิศวกรยานยนต์ไฟฟ้า ผู้ประกอบการสามารถทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเพื่อสะท้อนความต้องการแรงงานได้ตรงจุด ทำให้มหาวิทยาลัยสามารถผลิตบัณฑิตที่สอดคล้องกับตลาดได้จริง แต่สำหรับสายสังคมศาสตร์ยังคงเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนกว่า
ขณะเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ไต้หวันและมาเลเซียได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การสนับสนุนด้านการศึกษาที่ตรงจุด สามารถสร้างแรงงานทักษะสูงในอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และแอนิเมชัน จึงเป็นบทเรียนที่ไทยควรเรียนรู้ ผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ล่วงหน้าและกล้าที่จะลงทุนกับการศึกษาเพื่อตอบโจทย์อนาคต
ประเด็นเหล่านี้ยังถูกหยิบยกขึ้นในเวทีสัมมนาวิชาการระดับนานาชาติ SEAAIR (South East Asian Association for Institutional Research) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15–17 กันยายน 2568 ณ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างผู้บริหารและนักวิชาการจากหลายประเทศในเอเชียและออสเตรเลีย
โดยมีหัวข้อสำคัญที่สอดคล้องกับโจทย์การศึกษาไทย เช่น การศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Education) ทั้ง Green Education ที่มุ่งรักษาสิ่งแวดล้อม และ Transparency Education ที่เน้นความโปร่งใสและซื่อสัตย์สุจริต รวมถึงแนวทาง Blended Learning ที่ผสมผสานการเรียนแบบ On-site และ Online ซึ่งช่วยสร้างวินัยในตนเองของผู้เรียน ขณะเดียวกัน ประเด็นข้อจำกัดของ AI ก็ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึง เพราะแม้ AI จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ก็มีความเสี่ยงต่อความซื่อสัตย์ทางวิชาการ เช่น การคัดลอกผลงานโดยไม่สร้างสรรค์เอง
เวที SEAAIR ถือว่าพื้นที่ที่นักการศึกษาและผู้บริหารจากหลายประเทศจะได้สะท้อนปัญหา ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และมองหาทางออกของโจทย์ใหญ่การศึกษาในอนาคต
หวังว่าสิ่งที่ถกเถียงกันบนเวทีนี้จะถูกนำไปสู่การปฏิบัติจริง และกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย เพื่อให้แรงงานไทยพร้อมแข่งขัน