KEY
POINTS
ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ให้สัมภาษณ์ 'ฐานเศรษฐกิจ' ภายหลังการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมือง ภายใต้รัฐบาลใหม่ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี และการแต่งตั้งนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งสร้างทั้งความคาดหวังและคำถามในสังคม โดยเฉพาะการหยิบยกนโยบายยอดนิยมอย่าง 'คนละครึ่ง' กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 4 เดือนก่อนการยุบสภาเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่
ดร.สมชัย กล่าวว่า เข้าใจว่าโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายผลประโยชน์ถึงระดับรากหญ้า ซึ่งจากประสบการณ์ช่วงโควิดพบว่า สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้จริง โดยเงินลงสู่ระดับล่างจำนวนมาก ผู้ค้ารายเล็กได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน
อีกทั้ง 'คนละครึ่ง' ยังมีจุดแข็งมากกว่า โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เนื่องจากผู้ใช้ต้องควักเงินออกครึ่งหนึ่งเอง ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อเทียบกับงบประมาณที่ใช้เท่ากัน
อย่างไรก็ตาม ดร.สมชัย ชี้ว่าจุดอ่อนของมาตรการคือ การที่ประชาชนบางส่วนไม่ได้เพิ่มการใช้จ่ายจริง แต่เลือกเก็บเงินที่ประหยัดได้ไปออมแทน ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่สามารถบังคับได้และเกิดขึ้นกับทุกนโยบายแจกเงิน แต่หากรัฐบาลสามารถสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้ เช่น วางแผนแก้ปัญหาภาษีทรัมป์ให้เป็นรูปธรรม ก็จะทำให้ประชาชนมั่นใจและจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่งผลให้ 'คนละครึ่ง' มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ในด้านมาตรการเสริมควบคู่ 'คนละครึ่ง' ดร.สมชัย เสนอให้พิจารณานโยบายที่ได้ผลทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดแบบถ้วนหน้า ซึ่งจะใช้งบเพิ่มราว 2,000 ล้านบาท แต่ช่วยรับประกันคุณภาพชีวิตเด็กและอุดช่องโหว่ที่เด็กยากจนบางส่วนยังตกหล่นไม่ได้เงิน ถือเป็นการวางรากฐานระยะยาวควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ก็จะมีนโยบายซึ่งถ้าจะหวังผลแบบว่าหลายหน้า เช่น กระตุ้นเศรษฐกิจก็ได้ผล อย่างอื่นก็ได้ เช่นผล ระยะยาวมีอีกหลายนโยบาย อย่างเช่น เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ทําให้เป็นถ้วนหน้า ก็ทําให้รัฐบาลจะต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นประมาณซัก 2,000 ล้านบาท แต่ว่าเงินก็คือเข้ามือประชาชน แล้วก็เป็นการรับประกันเรื่องของคุณภาพของเด็ก เพราะว่าทุกวันนี้มันก็ยังมีการตกหล่นอยู่ เด็กที่ยากจนก็ยังไม่ได้เงิน ถ้าทําเป็นถ้วนหน้าก็จะปิดช่องโหว่ตรงนั้นได้ ตรงนั้นก็จะเป็นเรื่องที่เป็นทางวางรากฐานประกาศอนาคตในระยะยาวด้วย
ทั้งนี้ แม้งบประมาณประจำปีผ่านการพิจารณาไปแล้ว แต่ ดร.สมชัย มองว่ายังสามารถจัดสรรจากงบกลางมารองรับได้ โดยไม่กระทบต่อสถานะการคลัง เพียงแต่รัฐบาลต้องเลือกใช้อย่างตรงจุด พร้อมย้ำว่าการนำ 'คนละครึ่ง' กลับมาในเวลานี้ แม้จะถูกมองในมิติความนิยมทางการเมือง แต่หากเศรษฐกิจซบเซาหนักก็จำเป็นต้องอัดฉีด เพราะมาตรการแจกเงินคือวิธีที่รวดเร็วที่สุด ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องทำควบคู่กับนโยบายโครงสร้างระยะยาว
ดร.สมชัย กล่าวต่อว่า ปัญหาพลังงานเป็นอีกประเด็นที่ควรแก้จริงจัง เนื่องจากไทยมีโรงไฟฟ้าสำรองเกินจำเป็น ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟสูงเกินไปเพื่อรองรับ 'ค่าพร้อมใช้' ให้ผู้ประกอบการพลังงาน โดยเสนอให้เร่งผลักดันนโยบายติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ลดค่าใช้จ่ายของครัวเรือนและเพิ่มพลังงานเข้าสู่ระบบ รวมถึงพยายามเจรจาแก้ไขสัญญา 'ค่าพร้อมใช้' เพื่อบรรเทาภาระประชาชน หากทำได้สำเร็จจะได้ใจประชาชนจำนวนมากและเป็นผลดีทั้งระยะสั้นและระยะยาว
จริงๆเชียร์ อยากให้ปรับโครงสร้างพลังงาน น่าทําเพราะว่าจะลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้ ซึ่งก็คล้ายกับเอาเงินเข้ากระเป๋าประชาชน เพราะรายจ่ายลดก็มีเงินหลายกระเป๋ามากขึ้น ปัญหาเรื่องพลังงานของบ้านเรา คือผลิตไฟฟ้าสํารองมากเกินไป ซึ่งก็เลยมีแล้วต้องเสียค่าพร้อมใช้ไปก่อน แต่รัฐบาลก็ต้องเอางบประมาณนี้ไปจ่ายให้กับเจ้าสัวพลังงาน เราก็จ่ายค่าไฟแพงเกินไป
สำหรับสิ่งเร่งด่วนในช่วง 4 เดือน ดร.สมชัย ย้ำว่าผลกระทบจาก 'ภาษีทรัมป์' เป็นประเด็นที่เลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการที่สินค้าสหรัฐฯ เข้าประเทศไทยได้ด้วยภาษี 0% ซึ่งกระทบผู้ผลิตไทยจำนวนมาก รัฐบาลต้องจัดงบเยียวยาที่มากเพียงพอและมองเชิงรุกหาทางสร้างธุรกิจใหม่หรือส่งเสริมให้แรงงานเปลี่ยนอาชีพ พร้อมผลักดันการอัพสกิลและรีสกิลแรงงาน ซึ่งสามารถเห็นผลในเวลาไม่นาน ตัวอย่างเช่น โครงการฝึกอบรมออนไลน์ 6 สัปดาห์ของอินโดนีเซียที่ช่วยเพิ่มทักษะและรายได้แรงงานได้จริง ถือเป็นมาตรการที่ช่วยทั้งระยะสั้นและยาว พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจไปในตัว
ในด้านทีมเศรษฐกิจ ดร.สมชัย กล่าวถึง นายเอกนิติว่า เป็นผู้มีฝีมือ มุ่งมั่น และไม่ฝักใฝ่การเมือง มีศักยภาพในการนำเทคโนโลยีมาใช้ ส่วนภาพรวมของทีมเศรษฐกิจ แม้หลายกระทรวงเศรษฐกิจยังอยู่ในมือของนักการเมือง แต่ก็หวังว่าการนำคนรุ่นใหม่เข้ามาจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ
ดร.สมชัย ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศ โดยระบุว่าเป็นจุดบอดของไทยมากว่า 10 ปี และการมีรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่อาจช่วยยกระดับนโยบาย ซึ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจในยุคที่ประเด็น Geo-economics ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างปัจจัยทางภูมิศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์ โดยเน้นการ ใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) หรือในอีกมุมมองหนึ่ง คือ การใช้ อำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยขณะนี้ทวีความเข้มข้นมากขึ้น
ท้ายที่สุด ดร.สมชัย ระบุว่า ไม่มีใครการันตีผลลัพธ์ได้ แต่โดยภาพรวมชื่อและพื้นหลังของรัฐมนตรีหลายคนก็ดูดี และสังคมควรรอดูการทำงานจริง
อย่าลืมว่ากระทรวงที่โยงเรื่องเศรษฐกิจโดยตรง ไม่ว่าจะ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม เเละอื่นๆโยงเศรษฐกิจได้หมดเลย ถึงจะเป็น ส.ส.จริง เป็นลูกหลาน ส.ส.จริง แต่ว่ามีฝีมือไหมก็ต้องหวังว่าจะเป็นเเบบนั้น เข้าใจว่าพยายามเอาคนรุ่นใหม่เข้ามามากขึ้น ก็คงต้องหวังว่ามันจะดีขึ้น แต่ก็ไม่มีใครการันตีได้