นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ และธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์ และผลกระทบต่าง ๆ หากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่งหรือยังดำรงต่ำแหน่งอยู่ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวต้องแบ่งออก เป็น 3 ส่วน
1. หากนายกฯ มีการประกาศลาออกจากตำแหน่ง แต่รัฐสภายังคงดำเนินการต่อ ต้องมีการโหวตเลือกตั้งนายกฯคนใหม่ ถ้าจับตาดูว่า นายกฯคนใหม่ จะมาจากพรรคเดิม คือ พรรคเพื่อไทย หรือ จากมาพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ หากนายกฯใหม่ ยังคงเป็นพรรคเดิม คาดว่าเศรษฐกิจยังคงเดินหน้าต่อ เนื่องจากมีนโยบายคงเดิม แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมาดูว่าใครเป็นนายกฯ จะได้รับการยอมรับจากประชาชนมากน้อย
"หากนายกฯมาจากพรรคร่วมรัฐบาลเดิม แต่ต้องดูว่าใครเป็นนายกฯ จะได้รับการยอมรับจากประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องตามถ้าสมมุติว่าการได้รับการยอมรับจากประชาชนเพียงแค่เปลี่ยนตัวนายก แต่ภายใต้พรรคร่วมเดิม เศรษฐกิจก็เดินหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่น่ามีปัญหาอุปสรรค"
2. หากมีการยุบสภาฯ รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ
จะทำให้การบริโภคชะลอลง เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าเพราะประชาชนไม่มั่นใจสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งอาจจะกระทบเศรษฐกิจไตรมาส 4
3. นายกฯ ลาออก และมีการยุบสภา ก่อนมีการตัดสินคดี ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ซึ่งต้องมีการจัดสรรเลือกตั้งนายกฯ คนใหม่ โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 45-60 วัน จะส่งผลต่อเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้า รัฐบาลรักษาการก็จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ได้
"หากนายกฯลาออก หรือหยุดปฏิบัติหน้าที่ และมีการปรับเปลี่ยนขั้วกันใหม่ ต้องดูว่ารัฐบาลมีเสถียรภาพ มีเสียงข้างมากยาวนานแค่ไหนหรือ สภาจะไม่ล่มไม่ยุบ ถ้ามั่นคงเพียงพอก็จะตอบรับนายก สิ่งที่ต้องฟื้นตัวเร็ว รัฐบาลขับเคลื่อนต่อได้"
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังเร็วเกินไปในการประเมินสถานการณ์อาจจะมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันคาดว่า จีดีพีไทยปีนี้น่าจะโตได้ประมาณ 2%