ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ยกระดับมาตรการเชิงรุกป้องกัน อาชญากรรมเทคโนโลยี ด้วยการออกประกาศ “มาตรฐานและมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับสถาบันการเงิน ซึ่งมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568
มาตรการดังกล่าวกำหนดกรอบบังคับใช้ที่ชัดเจน ครอบคลุมทั้งธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ผู้ให้บริการทางการเงินรูปแบบอื่น (Non-bank) ตลอดจนผู้ให้บริการโทรคมนาคมและแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน
กรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้น โดยที่สถาบันการเงินไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ สถาบันการเงิน ต้องมีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นตามสัดส่วนแห่งพฤติการณ์ของสถาบันการเงินลูกค้า ผู้ประกอบธุรกิจรวมทั้งบุคคลอื่นตามที่แต่ละบุคคลจะมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดความเสียหายนั้น
ธปท.จึงกำหนดให้สถาบันการเงิน พิจารณากำหนดวงเงินให้เหมาะสม และสอดคล้องกับความต้องการใช้เงินของลูกค้า จากเดิมที่เคยโอนได้ 2 ล้านบาทต่อวัน
โดยแบ่งลูกค้าเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
“ธนาคารจะมีการประเมินลูกค้าจากพฤติกรรม การทำธุรกรรม และการรู้จักลูกค้า (KYC) ของแต่ละคน เพื่อกำหนดวงเงินให้เหมาะสม”
มาตรการดังกล่าว จะมีผลทันทีสำหรับลูกค้าใหม่ที่เพิ่งสมัคร Mobile Banking ส่วนลูกค้าปัจจุบันที่ใช้ Mobile Banking อยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 120 ล้านบัญชี จะบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2568
เราจะอยู่กลุ่มไหน : วงเงินที่ได้จะสอดคล้องกับข้อมูลและพฤติกรรมการใช้เงินในอดีต
หากมีพฤติกรรมการใช้จ่ายต่อวันเกิน 50,000 บาทและสถาบันการเงินมีข้อมูลรู้จักลูกค้า หรืออาจพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบเช่น เงินเดือน และสินทรัพย์ มีโอกาสได้รับวงเงิน 2 กลุ่มคือ
ลูกค้าที่เข้าข่าย S คือมีวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อวันคือ
กรณีลูกค้าที่ต้องการทำธุรกรรมมากกว่า วงเงินที่กำหนดไว้หรือวงเงินฉุกเฉิน
เป้าหมายของมาตรการดังกล่าว