นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภค เดือนกรกฏาคม ปรับตัวลดลงจากระดับ 52.7 เป็น 51.7 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 31 เดือนนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 เป็นต้นมา
ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 45.6 49.8 และ 59.6 ตามลำดับ ปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6
นอกจากนี้ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวลดลงจากระดับ 60.1 มาอยู่ที่ระดับ 58.9 การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 แสดงว่า ผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นของบริโภคลดลงได้ในอนาคตหากการเมืองไทยขาดเสถียรภาพและเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภค ปรับตัวลดลงจากระดับ 52.7 เป็น 51.7 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 31 สาเหตุหลักมาจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาลและการเมืองของไทยและสงครามการค้าจากนโยบาย ทรัมป์ 2.0 ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาแม้ว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงแล้วก็ตาม
นอกจากนี้ยังส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ใช้นโนบายการเงินผ่อนคลายจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว 2 ครั้งรวม 0.5% อยู่ที่ 1.75% แต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้าและการเข้าถึงสินเชื่อลำบาก
สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคม 2568 มีปัจจัยหลายด้านที่บวกและลบที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สำหรับปัจจัยที่เป็นบวกได้แด่
1. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับเพิ่มคาดการณ์ตวัเลขเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) ในปี2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 ต่อปี อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลการประมาณการเศรษฐกิจครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.1
2. รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ประจำปี 2568 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชน ผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการธุรกิจ โรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
3.การส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่า 28,649.89 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15.49% ขณะที่ การนำข้ามีมูลค่า 27,588.19.ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13.12% ส่งผลให้เกินดุลการค้า 1,061.70 ล้านดอลลาร์
4. SET Index ในเดือนกรกฎาคม 2568 ปรับตัวเพิ่มข้ึน 152.79 จุด โดยปรับตัวเพิ่มข้ึนจาก 1,089.56 จุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 เป็ น 1,242.35 จุด ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 จากการคาดการณ์ของนักลงทุนในช่วงปลาย เดือนกรกฎาคมว่าสหรัฐจะคิดภาษีน าเข้าจากประเทศไทยเพียง 15-20% จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 36%
ขณะที่ปัจจัยลบในเดือนกรกฎาคม 2568 ได้แก่
1. ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวตั้งแต่วัน ที่1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในอนาคต
2. ความกังวลเกี่ยวกับภาษีการค้าของสหรัฐที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตราสูงถึง 36% ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท โดยจะเริ่มจดั เก็บตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 หากการเจรจาระหว่างสหรัฐกับไทยไม่สำเร็จ
3. ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายไทย -กัมพูชา ที่ยกระดับจนเกิดเหตุรุนแรงจนเกิดการสู้รบในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม แม้ว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงก็ตาม แต่สถานการณ์ดังกล่าว ยังส่งผลให้เกิดความกังวลต่อประชาชนในจังหวัดตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา รวมท้งับรรยากาศการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนที่ชะงักงัน
4. ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจงัหวดัโดยเฉพาะในภาคเหนือ ที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร
5. ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้าตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ รวมถึงผู้บริโภคยังรู้สึกว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
6.ราคาข้าวเปลือกเจ้า มันสำปะหลัง และปาลม์ น้ำมัน อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา อาจส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้พิ่มขึ้นไม่มากนัก มีผลต่อกาำลังซื้อในบางพื้นที่
7. ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส (Hamas) ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวนัออกกลางที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันและพลังงานโลกยังทรงตัวสูงและกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า
ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกให้ช้าลงหรือชะลอตัวลง และอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในอนาคต