นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการยกระดับ เพิ่มขีดความสามารถด้านการตลาดให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) ด้านเครื่องดื่ม เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคระดับนานาชาติ
โดยดำเนินการผ่านการสนับสนุนงบประมาณผ่านระบบ BDS (Business Development Service) หรือ SME ปัง ตังได้คืน ในการออกบูธงานแสดงสินค้านานาชาติ ผับ บาร์ เอเชีย 2568 (Pub Bar Asia 2025) งานแสดงสินค้าด้านเครื่องดื่ม โรงแรม ร้านอาหารแบบไฟน์ไดนิ่ง (Fine Dining) และอุตสาหกรรมบันเทิงยามค่ำคืนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
“ภาพรวมธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านเครื่องดื่มและธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืนในประเทศไทย มีความหลากหลายและมีศักยภาพในการเติบโตสูง ธุรกิจเครื่องดื่ม ปัจจุบัน มีตั้งแต่ร้านกาแฟเล็กๆ ร้านอาหารที่มีดนตรีสด ไปจนถึงผู้ผลิตเครื่องดื่มเฉพาะทางทั้งที่มีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ ในขณะที่ธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืน รวมถึง ร้านอาหาร ผับ บาร์ หรือคลับต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น จากการขยายตัวของตลาดท่องเที่ยว การปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง”
ทั้งนี้ การเข้าร่วมงานดังกล่าว ถือเป็นเวทีเจรจาการค้าระดับนานาชาติที่รวบรวมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ผับ บาร์ ร้านอาหาร และธุรกิจไนท์ไลฟ์จากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และพม่า
โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชมกว่า 5,600 ราย ทั้งจากในและต่างประเทศ จึงถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพทางการตลาดของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีข้อจำกัดตามข้อกำหนดกฎหมายจากพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่อนุญาตให้โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกรูปแบบ รวมถึงการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านช่องทางจำหน่ายออนไลน์
ซึ่งข้อจำกัดดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กในการสร้างการรับรู้ของตลาดผู้บริโภค จึงทำให้การทำการตลาดที่เน้นการสร้างประสบการณ์ร่วมกับผู้บริโภคโดยตรง (On-ground Marketing) เป็นช่องทางสำคัญในการสร้างแบรนด์และเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นสาขาการผลิตที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของไทย เป็นอันดับที่ 1 ในภาคอุตสาหกรรม คิดเป็นมูลค่า 941,693 ล้านบาท โดยเป็นมูลค่าจาก SMEs 312,848 ล้านบาท หรือมีสัดส่วน 33.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในสาขาอาหารและเครื่องดื่ม มีจำนวน SMEs ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมทั้งสิ้น 136,663 ราย คิดเป็น 4.56% ของจำนวน SMEs ทั้งหมดของประเทศ มีการจ้างงาน 524,497 คน คิดเป็น 4.31% ของการจ้างงานรวม
นางสาวปณิตา กล่าวต่ออีกว่า สสว. เล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าว จึงได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบ BDS ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่าย 50-80% หรือ สูงสุดถึง 200,000 บาท เพื่อช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาศักยภาพของธุรกิจ
ในปี 68 สสว. ยังคงเดินหน้าผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ BDS สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการพัฒนาธุรกิจ 5 หมวดหลัก ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพการผลิตและบริการ การตรวจวัดมาตรฐานสินค้า เช่น ฉลากโภชนาการ การตรวจอายุสินค้า การเพิ่มผลิตภาพ เช่น ซอฟต์แวร์บริหารคลัง การพัฒนาและบริหารธุรกิจ การสร้างช่องทางตลาดและการตลาด รวมถึงเพิ่มบริการใหม่ คือ การพัฒนาธุรกิจที่มุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว เช่น มาตรฐานสิ่งแวดล้อม และการตรวจสอบคาร์บอนเครดิต ปัจจุบันมีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมแล้วกว่า 21,791 ราย และมีหน่วยงานผู้ให้บริการทางธุรกิจบนระบบ BDS ขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 257 หน่วยงาน
นายสราวุธ ประสิทธิ์ส่งเสริม เจ้าของแบรนด์คร๊าฟเบียร์สัญชาติไทย “คอลมีปาป๊า” (Call Me Papa) กล่าวว่า จากการสนับสนุนของ สสว. ทำให้สามารถช่วยลดต้นทุนค่าบูธได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังสามารถสร้างโอกาสในการเปิดตลาดได้จากการพบปะกับลูกค้าภายในงาน เช่น กลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร และเจ้าของกิจการผับ บาร์ต่าง ๆ ซึ่งการช่วยเหลือของ สสว. ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นที่ทำให้แบรนด์คอลมีปาป๊าได้ค่อย ๆ เติบโตต่อไป