แม่ฟ้าหลวงฯ กางแผนครึ่งปีหลัง 68 นำร่องคืนคาร์บอนเครดิต พัฒนาคน

02 ส.ค. 2568 | 12:41 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ส.ค. 2568 | 01:47 น.

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดแผนครึ่งปีหลัง 2568 ขยายบทบาท “ตำราแม่ฟ้าหลวง” ทั้งในประเทศจนระดับโลก เตรียมนำร่องคืนคาร์บอนเครดิต ล็อตแรก 8 บิ๊กองค์กร พัฒนาคน กาแฟ รุกที่ปรึกษาความยั่งยืน

KEY

POINTS

  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดแผนครึ่งปีหลัง 2568 บทบาท “ตำราแม่ฟ้าหลวง” ตั้งแต่ในประเทศจนขึ้นเวทีระดับโลก ด้านความยั่งยืน - Climate Change
  • เตรียมส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน ระยะแรก 12 โครงการ โดยมอบให้กับ 8 องค์กร ที่เข้าร่วมโครงการ เมื่อปี 2563 ตั้งเป้า 1 ล้านไร่ปี 72
  • พัฒนากาแฟ กุญแจสำคัญปลูกป่า ขยายธุรกิจกาแฟที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมไปยังตลาดต่างประเทศอีก 2 ประเทศ คาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 2569 
  • ประกาศพร้อมเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน (SuA) ภาครัฐ เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ โดยนำองค์ความรู้ทั้งหมดให้คำปรึกษาและฝึกอบรม
     

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 เตรียมขยายบทบาททั้งในระดับประเทศไปจนระดับโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อย่างต่อเนื่อง เพื่อชูองค์ความรู้ “ตำราแม่ฟ้าหลวง” สู่เวทีโลกด้าน Climate Change ครอบคลุมป่า ดิน น้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านความร่วมมือ การจัดงาน และร่วมงาน 

ไปจนถึงเป็นตัวแทนประเทศไทยในการนำเสนอแนวคิดและองค์ความรู้ที่พิสูจน์ได้จริงที่เน้นการฟื้นฟูธรรมชาติควบคู่กับการพัฒนาคน ประกอบไปด้วยแนวทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ทำงานสู่การออกแบบนโยบายระดับโลก 

ส่งมอบคาร์บอนเครดิต นำร่อง 8 องค์กร

ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เตรียมส่งมอบ คาร์บอนเครดิต จากป่าชุมชนในโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ได้รับการรับรองโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา จำนวน 12 โครงการ โดยมอบให้กับ 8 องค์กร ที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 1 เมื่อปี 2563 

สำหรับโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ผ่านมา มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ร่วมกับภาครัฐ ชุมชน และ 14 เอกชนชั้นนำ มีความร่วมมือในป่าชุมชนรวม 129 แห่ง ใน 9 จังหวัดครอบคลุมพื้นที่ 194,850 ไร่ โดยการดำเนินงานในแต่ละป่าชุมชนครอบคลุมระยะเวลา 10 ปี คาดว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ทางตรงด้านรายได้ชุมชนรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 500-630 ล้านบาท

"ปี 2568 นี้จะเป็นปีแรกที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะส่งมอบคาร์บอนเครดิตให้กับองค์กรต่าง ๆ นำร่องก่อน 8 แห่ง หลังจากได้เริ่มต้นทำโครงการ ถือว่าเป็นก้าวแรกที่สามารถจัดการเรื่องของความยั่งยืนเพราะสามารถปลูกป่า และดูแลคนไปในตัว ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ต้องทำควบคู่กัน โดยเป้าหมายต่อจากนี้จะขยายให้ได้ 1 ล้านไร่ในปี 2572" หม่อมหลวงดิศปนัดดา กล่าว

 

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์

 

โดยการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน จะดำเนินการในเวที MFLF Sustainability Forum 2025 วันที่ 22 กันยายน 2568 โดยในงานนอกจากการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนแล้ว ยังมีการจะเป็นการระดมแนวคิดหาทางออกการปรับตัวในสภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศในสภาวะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาปรับนโยบายสิ่งแวดล้อมขนานใหญ่ด้วย 

พัฒนาสายพันธุ์กาแฟ-รุกตปท.

สำหรับ การพัฒนากาแฟ ในปี 2568 นี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญของการปลูกป่า โดยสามารถสร้างรายได้มากกว่าการลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่สูงได้มากกว่า 8 เท่า ซึ่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีองค์ความรู้ด้านกาแฟมาอย่างยาวนานตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์ กระบวนการปลูก ดูแล เก็บเกี่ยว แปรรูป และการผลิตเป็นสินค้า ล่าสุดกำลังพัฒนาสายพันธุ์กาแฟ เพื่อปลูกในพื้นที่ต่าง ๆ ได้

หากทำสำเร็จ เชื่อว่า นอกจากจะช่วยสร้างรายได้ในพื้นที่ได้แล้ว ยังช่วยป้องกันการบุกรุกป่าได้ด้วย

พร้อมกันนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังเตรียมขยายธุรกิจกาแฟไปยังตลาดต่างประเทศอีก 2 ประเทศ คาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 2569 หลังเห็นเทรนด์การเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกาแฟที่มีต้นทางที่สามารถตรวจสอบที่มาได้ว่าเป็นกาแฟที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นกาแฟที่มีคุณภาพสูง

 

แม่ฟ้าหลวงฯ กางแผนครึ่งปีหลัง 68 นำร่องคืนคาร์บอนเครดิต พัฒนาคน

 

ดึง สผ. ทำแผนความหลากหลายทางชีวภาพ

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังเตรียมร่วมมือ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (สพภ.) ผลักดันแผนความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ (NBSAP 2566–2570)

โดยเน้นการพัฒนาเครื่องมือทางการเงินด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การบูรณาการฐานข้อมูล การเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์นอกเขตอนุรักษ์ในพื้นที่ดอยตุง (Other effective area-based conservation measures' (OECMs) การถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจชีวภาพ และการสร้างความตระหนักรู้แก่เยาวชน

รุกงานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน ไทย-ตปท.

งานอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ คือ งานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน (SuA) มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีความเชี่ยวชาญเรื่องดังกล่าว หม่อมหลวงดิศปนัดดา ยอมรับว่า สายงานนี้จะสร้างแรงกระตุ้นที่สำคัญให้องค์กรต่างๆ ในด้านความยั่งยืนทุกมิติที่จับต้องได้ ลงมือทำได้จริง ทำหน้าที่ขยายขอบข่ายความร่วมมือระดับประเทศและสากลที่มุ่งสร้างความยั่งยืนทุกมิติให้เกิดผลวงกว้างขึ้น 

พร้อมกับการเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนแก่ภาครัฐ เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ โดยให้บริการทั้งเชิงกลยุทธ์และภาคปฏิบัติ ตั้งแต่การดำเนินโครงการ T-VER, การวางแผน Net Zero & Circular Economy, Zero Waste to Landfillและการพัฒนาผู้นำ ESG รุ่นใหม่ 
โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการให้คำปรึกษาและฝึกอบรมให้กับภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคเอกชนในหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ภาคการเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม พลังงาน การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว การผลิต และอุตสาหกรรมบันเทิง เป็นต้น

 

ภาพประกอบข่าว มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดแผนครึ่งปีหลัง 2568

 

สำหรับบริการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เน้นการนำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมจากการดำเนินงานจริงในพื้นที่ มาพัฒนาเป็นบริการที่สามารถตอบโจทย์องค์กรต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีประสบการณ์ตรงจากการจัดการขยะสู่บ่อฝังกลบเป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) ความมุ่งมั่นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) จึงเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม 

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยงานรับรองก๊าซเรือนกระจกกับ อบก. สามารถทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบความใช้ได้ (Validator) และทวนสอบ (Verifier) โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย (T-VER) และปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่องค์กรปล่อย (CFO) 

ทีมที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมของมูลนิธิฯ ได้ให้บริการที่ปรึกษาขึ้นทะเบียนโครงการ และการทวนสอบโครงการ T-VER กับบริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมทั้ง เกษตร อาหารและเครื่องดื่ม พลังงาน ค้าปลีก การผลิต และภาครัฐ 

ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ

แนวทางการพัฒนาเชิงพื้นที่ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ อยู่บนหลักคิดของการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนกับทรัพยากรธรรมชาติ โดยการบริหารจัดการน้ำและการจัดการการใช้พื้นที่เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญ 

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังมีประสบการณ์ฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่ากว่า 600,000 ไร่ ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีการพัฒนาฐานข้อมูลที่ชัดเจน 

ปัจจุบัน มูลนิธิฯ ได้นำกรอบการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ผลกระทบ และการพึ่งพาธรรมชาติตามมาตรฐานสากล Task Force on Nature-related Financial Disclosures (TNFD) มาประยุกต์ใช้อีกด้วย จึงสามารถแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับองค์กรต่างๆ ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

การพัฒนาชุมชนและการสร้างเครือข่ายพันธมิตร

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีโมเดลการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนที่ผ่านการพิสูจน์ผลลัพธ์แล้วในหลายพื้นที่ พร้อมทีมงานที่มีประสบการณ์สูงในการขับเคลื่อนกระบวนการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ซึ่งสามารถนำไปถ่ายทอดและขยายผลผ่านความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ โดยมุ่งสร้างคุณค่าร่วม (shared value) กับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และชุมชน เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนและวัดผลได้

 

ภาพประกอบข่าว มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดแผนครึ่งปีหลัง 2568

 

กางแผนงานลุยเวทีระดับโลก

สำหรับการนำเสนอแนวคิดและองค์ความรู้ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ไปเผยแพร่บนเวทีระดับโลก ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 มีดังนี้

WEF - Global Future Councils (ดูไบ)

ก้าวขึ้นสู่เวที WEF ในฐานะผู้แทนประเทศไทย หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 3 ตัวแทนประเทศไทยที่เข้าร่วม Network of Global Future Councils ของ World Economic Forum (WEF) ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 

โดยดำรงตำแหน่งสมาชิกใน สภาอนาคตโลกด้าน “ดิน” (Global Future Council on Soil) ซึ่งถือเป็นทุนธรรมชาติพื้นฐานที่มีบทบาทสำคัญทั้งต่อความมั่นคงทางอาหาร การดูดซับคาร์บอน และการฟื้นฟูระบบนิเวศ งานนี้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกในสาขาต่างๆ เพื่อระดมความคิดเชิงนโยบายสำหรับโลกอนาคต

UNFCCC COP30 (บราซิล)

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังได้รับบทบาทสำคัญใน การประชุมสมัชชาภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC COP30) ที่จะจัดขึ้น ณ เมืองเบเล็ม ประเทศบราซิล โดยมูลนิธิฯ ทำหน้าที่เป็น Content Manager ให้กับรัฐบาลไทย ในการจัดกิจกรรมในพื้นที่ Thailand Pavilion 

โดยเน้นการสะท้อนการผนึกกำลังของภาคส่วนต่างๆ เพื่อเปลี่ยนเจตนารมณ์ด้าน Climate Action ให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะประเด็น ความหลากหลายทางชีวภาพที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในกลไกด้านสิ่งแวดล้อมของโลก

SEAPAW

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับเชิญเข้าร่วม Southeast Asia Partnership on Adaptation through Water (SEAPAW) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Singapore International Foundation และ World Economic Forum 

โดยเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน สถาบันการเงิน และองค์กรวิจัย ได้แลกเปลี่ยนแนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านมิติของน้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญระดับภูมิภาคที่มีผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคง และชีวิตของประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับ National University of Singapore (NUS) Centre for Nature-based Climate Solutions (CNCS) เป็นความร่วมมือระหว่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กับ NUS CNCS ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำระดับโลกด้านคาร์บอนและความหลากหลายทางชีวภาพ ในการวิจัยและจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่อนุรักษ์ การประเมินคาร์บอนและความหลากหลายทางชีวภาพที่ดอยตุง เพื่อเป็นต้นแบบส่งเสริมการฟื้นฟูธรรมชาติในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป