นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การประเมินด้านความเสียหาย จากสถานการณ์ชายแดนไทยกับกัมพูชานั้น อยู่ระหว่างรอจังหวัดที่อยู่ในเขตชายแดนไทยกับกัมพูชา และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พิจารณา ส่วนกระทรวงการคลังจะดูแลเยียวยาเรื่องค่าใช้จ่ายของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
สำหรับการคำนวณวิธีการดูแลของกระทรวงการคลังนั้น เราวิเคราะห์จากจำนวนผู้อพยพจาก 7 จังหวัดชายแดน ปัจจุบันอยู่ที่ 1.9 แสนราย ซึ่งการอพยพดังกล่าวประชาชนจะไม่มีรายได้ กระทรวงการคลังจะประเมินการดูแลจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้น และจำนวนวันที่อพยพ เป็นต้น
“ตัวแปลที่เราคำนวณ คือ จำนวนผู้อพยพ 1.9 แสนราย การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และจำนวนวันที่อพยพว่าออกจากพื้นที่ที่อยู่นานเท่าใด และจะได้ตัวเลขการดูแลที่จะได้รับค่าชดเชยจากภาครัฐว่าควรเป็นเท่าใด ทั้งนี้ การเยียวยาดังกล่าว ยังไม่รวมงบประมาณที่จะไปดูแลเรื่องการปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ”
สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้นั้น มีงบกลางกรณีฉุกเฉินจำเป็น และงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม จะต้องพิจารณาเงื่อนไขในการดูแลว่าถูกวัตถุประสงค์หรือไม่ ซึ่งกระทรวงการคลังการเตรียมความพร้อมที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมได้ทันท่วงทีต่อไป
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทยกับกัมพูชา ประกอบด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังประเมินว่าผลกระทบจากความขัดแย้งไทยกับกัมพูชานั้น ยังจำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ โดยการค้าชายแดนยังมีสัดส่วนภาพรวมลดลงไม่สูงมาก การท่องเที่ยวพึ่งพานักท่องเที่ยวกัมพูชาน้อย และแหล่งท่องเที่ยวไทยไม่ได้อยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งชายแดนดังกล่าว จึงประเมินว่า การค้า และการท่องเที่ยว รวมถึงการลงทุนไม่ได้รับผลกระทบมาก
“จุดหมายปลายทางนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ส่วนใหญ่เป็นกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา ฉะนั้น กระทรวงการคลังจึงมองว่าการได้รับผลกระทบดังกล่าวจึงยังจำกัดเฉพาะบริเวรพื้นที่ชายแดน และช่วงนี้อยู่ในช่วงโลว์ซีซั่น การเดินทางเข้าประเทศไทยจึงมีข้อจำกัดสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ”
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีผลกระทบต่อภาคแรงงาน เนื่องจากไทยยังพึ่งพาภาคแรงงาน แต่เชื่อว่าแรงงานส่วนใหญ่ยังอยู่ในประเทศไทย