นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ปรับเพิ่มประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.2% จากครั้งก่อนที่คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 2.1% ทั้งนี้ สอดคล้องกับประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะขยายตัวได้ 2%
สำหรับการคาดการณ์ครั้งนี้ ได้รวมสมมติฐานภายใต้สถานการณ์นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของประเทศคู่ค้าของไทย และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาแล้ว
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจปี 2568 มาจาก 3 เครื่องยนต์หลัก ได้แก่
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม ที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ คาดว่าจะขยายตัวกว่า 1.2% จากปีก่อนหน้าที่หดตัว -0.4% จากการฟื้นตัวของการผลิตยานยนต์และการผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์เป็นสำคัญ
2. การส่งออกสินค้า ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะขยายตัว 5.5% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 2.3% เนื่องจากการเร่งนำเข้าของประเทศคู่ค้าที่สูงกว่าคาดในครึ่งแรกของปี 2568
อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าของไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 อาจจะมีทิศทางที่ชะลอตัวลงจากผลกระทบของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าประเทศไทยจะได้รับข้อตกลงการผ่อนปรนภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ด้านมูลค่าการนำเข้าสินค้าคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ร้อยละ 4.5 ถึง 5.5) โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อนำมาผลิตเพื่อส่งออก
และ 3. การบริโภคภาคเอกชน เป็นแรงสนับสนุนสำคัญในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.1% ตามกำลังซื้อในประเทศสะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บในประเทศที่ขยายตัวได้ดี โดยเติบโตติดต่อกัน 9 ไตรมาส
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.0% ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อน โดยการลงทุนมีทิศทางฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังได้รับแรงสนับสนุนจากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท จาก 1,880 โครงการในครึ่งแรกของปี 2568
ด้านการบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 1.2% และการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 3.9% จากการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และมีแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท (แผนการขับเคลื่อนฯ) ที่มีส่วนช่วยในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยให้เอื้อต่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติจัดสรรวงเงินแล้ว 115,375 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (ด้านน้ำและด้านคมนาคม) ด้านการท่องเที่ยว ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ และเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ เป็นต้น
“เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวได้ดีในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ที่เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญความท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม”
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้เตรียมตัวรับมือและบรรเทาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผ่านการดำเนินแผนการขับเคลื่อนฯ ในการลดผลกระทบต่อภาคการส่งออก และมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างทันท่วงทีและตรงจุด
ครอบคลุมการจัดเตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดภาระทางการเงินของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ของห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ