บอร์ดกระตุ้นเศษฐกิจ ตีตกงบท้องถิ่น จัดงบหมื่นล้านรับมือภาษีทรัมป์

24 ก.ค. 2568 | 06:28 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ก.ค. 2568 | 06:30 น.

บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ ไฟเขียวจัดงบประมาณที่เหลือ รับมือภาษีทรัมป์ เตรียมใส่กองทุนเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ 1 หมื่นล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ ส่วนงบท้องถิ่นถูกตีตกใช้งบอื่นแทน

วันนี้ (24 กรกฎาคม 2568) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) วันนี้ ว่า การจัดสรรงบประมาณในส่วนที่เหลือจากวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาทนั้น หลักจะจัดสรรไปเพื่อรับมือกับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ซึ่งเรื่องของภาษีทรัมป์เป็นเรื่องส่วนใหญ่ที่ต้องใช้เงิน

 

การประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) วันนี้

 

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า ที่ประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจวันนี้เห็นชอบให้จัดสรรเงินให้กับกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการดึงดูดการลงทุน ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เพื่อปรับโครงสร้างการผลิตในประเทศ และอีกส่วนจะจัดสรรเพิ่มให้กับกองทุนเพื่อกู้ยืมเพื่อการศึกษา (ก.ย.ศ.) ให้กับนักเรียน นักศึกษาในภาคเรียนต่อไป 

“ที่ประชุมวันนี้ เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่วงเงินประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท จัดทำโครงการเพื่อรับมือผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ภาษีทรัมป์ โดยเน้นโครงการช่วยเหลือเอสเอ็มอี พยุงการจ้างงาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และบางส่วนจะจัดสรรในโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาทุนมนุษย์” 

ส่วนรายการงบประมาณที่ขอจากกระทรวงมหาดไทยเพื่อจัดสรรให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นั้นที่ประชุมให้ความเห็นว่างบประมาณในส่วนนี้ไม่สามารถที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างได้ทันในวันที่ 30 ก.ย.2568  และอาจมีการซ้ำซ้อนกับงบประมาณในปี 2569 ที่จะเริ่มออกมาใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 2568 นี้ โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยไปทบทวนโครงการและรอจัดสรรงบฯจากแหล่งงบประมาณอื่นต่อไป

 

บอร์ดกระตุ้นเศษฐกิจ ตีตกงบท้องถิ่น จัดงบหมื่นล้านรับมือภาษีทรัมป์

 

ด้าน น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงรายละเอียดการประชุมว่า นายภูมิธรรม ได้แจ้งก่อนการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจไทยประสบปัญหาเรื่องการขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าศักยภาพ และสัดส่วนการลงทุนของภาครัฐและเอกชนเมื่อเทียบกับจีดีพีอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน 

จึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งได้อีกครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้วงเงิน 157,000 ล้านบาท โดยงบประมาณถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการแก้ปัญหาดังกล่าวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะผลการเจรจาเรื่องภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ

ดังนั้นจึงขอให้คณะกรรมการร่วมกันทบทวนและพิจารณาข้อเสนอโครงการตามมติที่ประชุมของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ และสอดคล้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้งบประมาณในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เกิดประโยชน์เต็มที่ต่อระบบเศรษฐกิจบรรเทาผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน

 

น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

 

“นโยบายภาษีแบบตอบโต้ ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หลักการและแนวทางการทบทวนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงต้องคำนึงถึงเหตุผลด้านเศรษฐกิจ การตรวจสอบ และให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้ผลกระทบ และการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อตอบโจทย์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในอนาคต” น.ส.ศศิกานต์ กล่าว