เอกชนเร่งผู้ว่า ธปท.แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-การเงิน ดันประเทศไทยฝ่าวิกฤตปี 68

22 ก.ค. 2568 | 10:21 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.ค. 2568 | 13:36 น.

ภาคเอกชนชี้สถานการณ์ด้านการเงิน-การคลัง ประเทศไทยอยู่ในวิกฤต จี้ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ แก้ปัญหาด่วนก่อนกระทบหนัก โดยเฉพาะเรื่องภาษีสหรัฐฯ 36%

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ของประเทศไทยตอนนี้มีวิกฤตเรื่องการเงิน การคลัง ที่ต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้ประเทศได้ประโยชน์สูงสุด โดย ผู้ว่า ธปท. คนใหม่ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะจะต้องสร้างความเชื่อมั่นและมีศักยภาพที่จะเข้ามาบริหารงานในปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่ช่วงเวลาปกติ และต้องเร่งแก้ปัญหาเร่งด่วนหลายอย่าง

ปัญหาเร่งด่วนที่ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ควรพิจารณา 

  • เงินบาทแข็งค่า เป็นปัญหาเร่งด่วนอันดับแรกที่ค่อนข้างผิดปกติ เพราะกระทบภาคส่งออกที่ต้องพึ่งพาอัตราแลกเปลี่ยนสูง 
  • อัตราดอกเบี้ยและการเข้าถึงสินเชื่อ เป็นปัญหาสำคัญในกลุ่มผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs แม้ธนาคารพาณิชย์มีความแข็งแรงและมีอัตรากำไรดี แต่ต้องดูแลผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อยให้อยู่รอด 
  • หนี้ครัวเรือน ที่ต้องเริ่มจากการทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนก่อน เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบกิจการ มีงานทำ มีเงินใช้จ่าย และมีเงินชำระหนี้

"เรื่องเหล่านี้สัมพันธ์กับอัตราภาษีสหรัฐ 36% ที่ยังไม่แน่นอนว่าจะรวมกับภาษี 10% ที่เก็บอยู่เดิมหรือไม่ โดยภาคเอกชนตั้งความหวังไว้ว่าจะได้ประมาณ 20% เท่ากับหรือน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่ง และยังคงต้องติดตามการบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด หวังให้เศรษฐกิจไทยผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้"

ดังนั้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญหลายประการ ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด 

ด้าน นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เรื่องเงินบาทแข็งค่าและความกังวลเกี่ยวกับภาษีสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของผู้ประกอบการไทย เป็นปัญหาที่ทำให้การส่งออกทำได้ยากขึ้น หากไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ เกรงว่าอุตสาหกรรมไทยในอนาคตจะถูกต่างชาติถือครองเป็นส่วนใหญ่ 

เรียกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันค่อนข้างฝืด ถ้าไทยขาดช่วงในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการล้มตายได้ นโยบายเรื่องการเงิน-การคลังในช่วงครึ่งหลังปี 2568 จะต้องทำให้เกิดประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจสูงสุด และจำเป็นต้องทุ่มเม็ดเงินที่มีอยู่ทั้งหมด ประคองเศรษฐกิจให้รอดในวิกฤตให้ได้ก่อน

ขณะเดียวกันผู้ประกอบการจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของเทคโนโลยีมากขึ้น และเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ภาครัฐควรส่งเสริม โดยเฉพาะการสนับสนุนทุนสำหรับการพัฒนา การสร้างนวัตกรรมและกระบวนการผลิตต่าง ๆ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ควรวางแผนการทำงานให้เกิดผลอย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม ผู้ว่า ธปท. คนใหม่ จากโปรไฟล์เคยมีประสบการณ์ด้านธนาคารและกองทุน น่าจะเข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจและความต้องการความช่วยเหลือของภาคเอกชนเป็นอย่างดี สามารถบริหารจัดการนโยบายเร่งด่วนได้ เพราะหากบริหารจัดการช้าไปกว่านี้เศรษฐกิจไทยจะอยากเกินกว่าจะฟื้นคืนกลับมาได้