เอกนัฏแนะ 5 ข้อแก้ปมภาษีทรัมป์-เร่งปฏิรูปอุตฯก้าวทันโลกยุคใหม่

15 ก.ค. 2568 | 07:53 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ก.ค. 2568 | 07:53 น.

เอกนัฏออกโรงแนะ 5 ข้อแก้ปมภาษีทรัมป์ควบคู่การเจรจา ชี้ต้องเร่งปฏิรูปอุตสาหกรรมให้ก้าวทันโลกยุคใหม่ไม่ว่าผลการเจรจาจะเป็นอย่างไร

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (ขิง)) เกี่ยวกับกรณีที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้า 36% จากไทย ว่า “ดัมพ์” น่ากลัวกว่า “ทรัมป์”

ตนเชื่อมาตลอดว่าการจัดการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ จะเป็นการแก้ปัญหา รับมือการขึ้นภาษีแบบ All Win และยั่งยืน

กรณีภาษี 36% ที่สหรัฐกำลังจะประกาศบังคับใช้กับไทยในวันที่ 1 ส.ค. ได้สร้างความกังวลใจให้กับประเทศไทยไม่น้อย

สหรัฐเป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับประเทศไทย ที่ส่งออกสินค้าไปขายมากที่สุด มูลค่ากว่า 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

 

การเจรจาขอลดภาษีไม่มีความแน่นอน  ตัวอย่างเช่น ประเทศเวียดนามที่เหมือนจะดีลได้ 20% แต่ยังโดน 40% สำหรับสินค้าผ่านทางตามการตีความของสหรัฐ

เอกนัฏแนะ 5 ข้อแก้ปมภาษีทรัมป์-เร่งปฏิรูปอุตฯก้าวทันโลกยุคใหม่

อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ถูกส่งออกไปใน 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐมีส่วนหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษี Reciprocal Tax เนื่องจากสหรัฐประกาศใช้อัตราภาษีเฉพาะรายการ เป็นลักษณะ Sectorial Tariff อัตราเดียวกันหมดทั่วโลกไปแล้ว คือ

  • ชิ้นส่วนยานยนต์ให้เก็บที่ 25% 
  • เหล็กโดน 50% ไม่ว่าจะนำเข้ามาจากประเทศไหน 
  • ที่สำคัญ คือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท เช่น ฮาร์ดดิสก์ ได้รับการเวฟภาษีนำเข้าเป็น 0%

ในส่วนนี้มีมูลค่าราวๆ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากส่งออก 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  

หลายบริษัทที่ผลิตสินค้าในกลุ่มที่ว่านี้ ได้ผูกกระบวนการผลิตเข้ากับห่วงโซ่อุปทานในประเทศและรอบประเทศไทย เพื่อขายของทั่วโลก จนขยับย้ายฐานการผลิตออกไปยากมาก

ส่วนอีก 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่เหลือ ที่กำลังจะโดนขึ้นภาษีนั้น

ก่อนอื่นฝ่ายเจรจาควรรับรู้ว่า

เอกนัฏแนะ 5 ข้อแก้ปมภาษีทรัมป์-เร่งปฏิรูปอุตฯก้าวทันโลกยุคใหม่

หากเป็นวัตถุดิบ ชิ้นส่วน หรือเครื่องจักร ที่จะนำไปประกอบหรือผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป จะทำให้สหรัฐเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน เสี่ยงย้ายฐานการผลิตออกไปนอกสหรัฐ มีโอกาสสูงที่สหรัฐจะต้องปรับลดภาษีหรือออกมาตรการชดเชยภาษีนำเข้าในที่สุด

ส่วนนี้มีมูลค่าอีกเกือบ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่จะกระทบโดยตรงคือกลุ่มสินค้าสำเร็จที่ส่งออกจากไทยไปบริโภคที่สหรัฐ เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศ เครื่องประดับ อาหารแปรรูป ที่มีมูลค่าราวๆ 24,000 จาก 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐไม่ถึงครึ่งของมูลค่าทั้งหมด

แต่ในจำนวน 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนี้เอง

บาง Sector เช่น การผลิตล้อยางส่งออก ก็เป็นบริษัทที่เป็นสัญชาติไทยจริง หรือเป็นการร่วมทุนกับไทย ไม่ถึง 1 ใน 5 ของมูลค่าที่ส่งออกไป

บาง Sector ถึงจะส่งออก แต่มีการนำเข้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนจำนวนมาก Local Content ตํ่า จนส่วนต่างมูลค่าส่งออกลบนำเข้า แทบไม่เหลือ 

หากลบส่วนนี้ออกไปอีกอย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐกู้มูลค่ากลับคืนมาจากศูนย์เหรียญ เท่ากับชดเชยมูลค่าที่จะสูญเสียไปจากการส่งออกที่ได้รับผลกระทบ 

แถมจะเป็นการช่วยแก้ปัญการเกินดุลการค้าที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าอีกด้วย

ดังนั้น สิ่งที่ต้องเร่งมือทำ เพื่อเซฟอุตสาหกรรมไทย ประกอบด้วย

  • จัดการกับอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ รวมไปถึงโรงงานเทา โรงงานเถื่อน ที่ผลิตสินค้าด้อยคุณภาพ ทำลายสิ่งแวดล้อม แยกตัวออกจากห่วงโซ่อุปทานไทย ไม่สนใจ Local Content ฉวยโอกาสสูบมูลค่าออกจากเศรษฐกิจไทย ทำลายชื่อเสียง และความเชื่อมั่นของนักลงทุน
  • ป้องกันการดัมพ์ตลาด โดยการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงสินค้าศูนย์เหรียญตํ่ามาตรฐานที่ผลิตในไทย ถูกกำแพงภาษีจากตลาดสหรัฐ เลยมาดัมพ์ขายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก ล้อยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
  • สนับสนุนให้คนไทยช่วยซื้อของดีที่คนไทยผลิต รัฐบาล กองทัพ โรงพยาบาล โรงแรม ร้านอาหาร ช่วยกันอุดหนุนสินค้าดีๆ ที่ผลิตโดยคนไทย
  • โอบอุ้มธุรกิจขนาดเล็ก SMEs ลดต้นทุน ลดความล่าช้าที่เป็นอุปสรรคจากส่วนราชการ ส่งเสริมให้ใช้ Technology และ Innovation ช่วยลงทุนในเรื่องของ Digital Transformation และ Green Transformation หาตลาดให้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • ผูกห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Chain) ที่มีมูลค่า ให้ลึกให้ละเอียดกว่าเดิม เติมมูลค่า ลดขั้นตอน ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น ทำให้เร็ว สะดวก และโปร่งใส แต่ต้องมีความรับผิดชอบ

ทั้งหมดทำควบคู่กับการเจรจา และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ในสถานการณ์ที่โลกแปรปรวนเช่นนี้ เป็นโอกาสของประเทศ ที่จะเร่งปฏิรูประบบอุตสาหกรรมให้กลับมาแข็งแกร่ง เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวสำคัญทันกับโลกยุคใหม่ในอนาคต