“EXIM BANK” จัด 10,000 ล้านช่วยผู้ส่งออกฝ่าวิกฤตภาษีทรัมป์

08 ก.ค. 2568 | 06:12 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ก.ค. 2568 | 06:12 น.

“EXIM BANK” เตรียมเงิน 10,000 ล้านบาทช่วยผู้ส่งออกฝ่าวิกฤตภาษีทรัมป์ แนะเตรียมความพร้อมวางแผนรองรับ เหตุทรัมป์อยู่ 4 ปีนโยบายจะมีการปรับเปลี่ยน

ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ (EXIM BANK) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ธนาคารได้มีการจัดเตรียมวงเงินไว้ประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อช่วยผู้ประกอบการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาที่ประสบปัญหากับกรณีการเรียกเก็บภาษีนำเข้า 

ทั้งนี้ ล่าสุดสหรัฐฯได้ส่งจดหมายเพื่อแจ้งอัตราการเก็บภาษีนำเข้าเป็น 36% โดยเริ่มวันที่ 1 ส.ค. 68 เป็นต้นไป แต่ก็ยังมีการเปิดช่องว่างให้มีการเจรจาต่อรองเงื่อนไข ซึ่งระบุชัดเจนว่าหากมีข้อเสนอที่ดี เป็นที่พึงพอใจก็อาจจะมีการปรับลดภาษีลงได้ หรืออาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากข้อสเนอไม่เป็นไม่ทำให้สหรัฐได้รับผลประโยชน์มากพอ

สำหรับงบ 10,000 ล้านบาทดังกล่าวนั้น จะใช้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งการยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย และการเติมทุน

“EXIM BANK” จัด 10,000 ล้านช่วยผู้ส่งออกฝ่าวิกฤตภาษีทรัมป์

นอกจากนี้ ธนาคารยังได้มีการหารือกับผู้ประกอบการในภาพระยะยาว เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ยังอยู่ในตำแหน่งไปอีก 4 ปี โดยที่ยังไม่มีผู้ใดระบุได้ว่าการนำภาษีตอบโต้มาใช้จะเกิดขึ้นแค่เพียงแค่เดียว

ซึ่งหากมีการขู่ปรับขึ้นภาษีนำเข้าอยู่ตลอด ก็จะมีผลทำให้ผู้ประกอบการส่งออกไปสหรัฐฯวางแผนธุรกิจได้ยาก ทั้งการลดต้นทุนขององค์กรให้ยืดหยุ่นมากขึ้น 

การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการหาตลาดใหม่ ซึ่งล่าสุดธนาคารได้มีการร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์เพื่อดำเนินการช่วยเหลืออยู่

นอกจากนี้ หากธุรกิจไม่สามารถไปได้ หรือฝืนไม่ไหวก็จะมีสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ หรือซอฟท์โลน (Soft loan) เพื่อพยุงการจ้างงงาน โดยธนาคารได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานผ่านสำนักงานประกันสังคม ในการให้สินเชื่อเพื่อโครงการจ้างงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถผ่านพ้นวิกฤตในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ไปได้

ดร.เบญจรงค์ กล่าวต่อไปอีกว่า ข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการนั้น เชื่อว่าเมื่อเห็นข่าวการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 36% น่าจะเกิดอาการตกใจบ้าง เพราะเป็นตัวเลขที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน แต่ส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าจะมีการเตรียมมาสักพักหนึ่ง โดยหลายบริษัทที่ได้มีการหารือก็มีแผนในการรองรับไว้หลายระดับ 

“ต้องนำกรณีเลวร้ายที่สุด (worst-case) มาจำลองสถานการณ์ เพื่อดูว่ากรณีต้องถูกเรียกเก็บภาษี 36% ส่วนประเทศคู่แข่งถูกเรียกเก็ยตามที่จดหมายระบุจะยังแข่งขันได้หรือไม่ มีกำไรเพียงพอหือไม่ จะต้องมีการปรับแผนการตลาด หรือแผนการผลิตอย่างไร”

อย่างไรก็ตาม เวลาผู้ประกอบการควรมีการเตรียมตัววางแผนเพื่อรองรับสถานการณ์ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรไทยน่าจะโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าแน่นอนไม่ว่าจะอัตราเท่าไหร่ก็ตาม แต่การมีแผนจะทำให้ปรับเปลี่ยน และตัดสินใจได้ทันทีที่เห็นตัวเลขสุดท้าย