นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรณีที่มีกระแสข่าวประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ (Reciprocal Tariffs) 18% นั้น ไม่ใช่ตัวเลขทางการ แต่เป็น “ค่าประมาณการ” ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนักเศรษฐศาสตร์ ใช้ในการจำลองผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงเจรจา ยังไม่ได้ข้อสรุป
“ตามที่เป็นข่าวในสื่อสังคมว่าประเทศไทยได้ข้อยุติในเรื่องภาษีของสหรัฐที่ 18% ไม่เป็นความจริง เพราะเรายังไม่ได้ข้อยุติ เข้าใจว่าตัวเลข 18% เป็นตัวเลขคาดการณ์ของข้อสมมุติฐานเท่านั้น ข้อเท็จจริงคือเรายังอยู่ในช่วงเจรจา“
โดยก่อนหน้านี้ นายพิชัย กล่าวว่า การเจรจากับสหรัฐนั้น มีการแก้ไขเพิ่มในประเด็นต่างๆ 4-5 ประเด็นที่มีการคุยกันมา เช่น เรื่องของอัตราภาษี เรื่องมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (non - tariff) การนำเข้าสินค้าเพิ่มจากสหรัฐฯ การแก้ปัญหาสินค้าที่มีการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างไร การถ่ายโอนสินค้า (Transshipment) อย่างไร ซึ่งเป็นประเด็นที่เราได้มีการพูดคุยมาโดยตลอดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร
โดยหลักๆ แล้วตอนนี้ข้อเสนอของประเทศไทยยังเป็น 5 ข้อหลักตามที่เราได้ยื่นข้อเสนอไปให้สหรัฐฯพิจารณา แต่ก็อาจจะมีเพิ่มเติมบางส่วนได้ แต่ยังอยู่ในกรอบใหญ่ เพราะในการเจรจาระดับคณะทำงานเราคุยเรื่องนี้มาตลอดทำให้รู้ว่าจะมีการปรับในส่วนไหน อย่างไร
สำหรับ 5 ข้อเสนอของไทยในการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ มีเป้าหมายลดการเกินดุลกับสหรัฐให้ได้ 50% ภายใน 5 ปี และส่งเสริมความร่วมมือเป็นพันธมิตรระดับยุทธศาสตร์มากขึ้นในอนาคต ได้แก่
1. เสริมความร่วมมือธุรกิจอาหารแปรรูปไทยและสหรัฐ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยการใช้จุดแข็ง 2 ประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพื่อเป็นวัตถุดิบแปรรูปและส่งออกไปตลาดโลก และหารือร่วมภาคเกษตรของสหรัฐที่เป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
2. เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยไทยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็น อาทิ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบินและชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจในประเทศ
3. เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวน 11,000 รายการ ลง 14% รวมถึงการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือ อีกทั้งลดโควตาและข้อจำกัดพร้อมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ล ข้าวสาลี ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์
4. บังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าเคร่งครัดผ่านการบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า “Made in Thailand” โดยสินค้าจากประเทศที่ 3 ส่งออกผ่านไทยไปสหรัฐ ซึ่งจะเพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดสหรัฐ
5. ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐ ภาครัฐสนับสนุนการขยายการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐ ภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการลงทุน LNG ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ปัจจุบันเอกชนไทยลงทุนในสหรัฐ 70 แห่ง ใน 20 มลรัฐ สร้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง มูลค่าการลงทุน 16,000 ล้านดอลลาร์