คลังเกาะติดปัจจัยเศรษฐกิจรอบด้าน พร้อมออกมาตรการพยุงเพิ่ม

20 มิ.ย. 2568 | 06:39 น.
อัปเดตล่าสุด :20 มิ.ย. 2568 | 06:43 น.

คลังเกาะติดปัจจัยเศรษฐกิจรอบด้าน รมว.คลัง สั่งศึกษามาตรการเพิ่มเติม คาดงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านเอาอยู่ มีผลต่อจีดีพี 0.4-0.5%

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากกรณีปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่เข้ามารุมเร้าในขณะนี้  สศค.อยู่ระหว่างติดตามประเมินสถานการณ์ต่างๆ ขณะเดียวกัน สศค.ได้ร่วมกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ในการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

“สถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ นั้น ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด  สศค. ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทางกระทรวงการคลัง ไม่ว่าจะเป็น ปลัดกระทรวงการคลัง หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้ สศค.เตรียมดูว่าต้องมีมาตรการอะไรรองรับในส่วนที่อาจมีการประเมินแล้วพบว่ามีผลกระทบเพิ่มเติม ซึ่งสศค.กำลังดำเนินการอยู่”

ส่วนมาตรการจะเป็นรูปแบบใด จะต้องดูรายละเอียด เพราะได้ใช้งบกลาง 1.57 แสนล้านบาทไปในระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังมีบางส่วนเหลืออยู่  4.2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ หรือหน่วยงานอื่นๆที่สามารถช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจได้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายยกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาอนุมัติ โครงการข้อเสนอพื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งแต่ละโครงการจะช่วยเสริมในเรื่องของการ จ้างงาน และการลงทุนต่างๆ

นอกจากนี้ คณะกรรมการหระตุ้น ได้รับทราบข้อมูลจากสภาพัฒน์ฯ และ สศค. ว่ามีเป้าหมายการจ้างงานประมาณ 7 ล้านคน ซึ่งเมื่อคำนวณเป็นวงเงินแล้ว คาดว่าเป็นวงเงินงบประมาณกว่า 3 หมื่นล้านบาท จากงบกลางทั้งหมด 1.15 แสนล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของวงเงินรวมที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 

ส่วนที่เหลือเม็ดเงินจะลงไปสู่ภาคการผลิตทั้งหมดเชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวจะเป็นตัวช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ของปี 2568 ประเมินว่ามีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)ประมาณ 0.4-0.5% ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถรองรับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในทุกๆ ด้านได้

 ส่วนเรื่องการยกร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณประจำปี 2569 ยังคงเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย คือช่วงนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรโดยคณะกรรมาธิการ ดังนั้นกระบวนการเป็นอย่างไรก็คงต้องเป็นไปตามกฎหมาย