มาสเตอร์การ์ดแนะดึงเทคโนโลยียกระดับขนส่งมวลชนรับแข่ง F1 กทม.

19 มิ.ย. 2568 | 07:22 น.
อัปเดตล่าสุด :19 มิ.ย. 2568 | 07:22 น.

มาสเตอร์การ์ดชี้หัวเมืองใหญ่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับปัญหาการจราจรติดขัด แนะไทยดึงเทคโนโลยีทันสมัยยกระดับขนส่งมวลชนรับแข่ง F1 กทม.

นายซาฟดาร์ คาน ประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาสเตอร์การ์ด เปิดเผยว่า หัวเมืองใหญ่ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับปัญหาการจราจรที่ติดขัดอย่างหนัก ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของเมืองและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และเนื่องด้วยเศรษฐกิจโดยรวมของภูมิภาคมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนหลั่งไหลเข้าสู่เขตตัวเมืองส่งผลโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งในตัวเมืองไม่สามารถรองรับความต้องการได้เพียงพอ

โดยปีนี้การจราจรก่อนวันหยุดในกรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า ขณะที่ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ผู้บริหารด้านคมนาคมออกมาประเมินว่าความแออัดบนถนนสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง 4.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี 

ด้านกรุงเทพมหานครแม้จะมีระบบรถไฟฟ้าที่ทันสมัย แต่ก็เริ่มพิจารณาการจัดเก็บค่าผ่านทางในเขตที่มีการจราจรหนาแน่นเพื่อลดปริมาณรถบนถนนเช่นกัน

อย่างไรก็ดี นอกจากปัญหาการจราจรในชีวิตประจำวัน การจัดงานขนาดใหญ่ เช่น การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ หรือการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน อาจยิ่งเพิ่มความแออัดของการจราจรในเมืองต่างๆ เนื่องจากระบบขนส่งมวลชนในหลายเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีข้อจำกัด ทำให้การเดินทางภายในเมืองกลายเป็นเรื่องยากสำหรับประชาชนทั่วไป

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ เมืองใหญ่หลายแห่ง จึงเดินหน้าขยายศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมวลชน เมื่อปีที่แล้ว จาการ์ตาเริ่มก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายใหม่ ขณะที่นครโฮจิมินห์เปิดให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และทั้งกรุงกัวลาลัมเปอร์และกรุงเทพฯ ต่างกำลังเดินหน้าขยายโครงข่ายระบบรางอย่างต่อเนื่อง 

อย่างไรก็ดี เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงจากการเติบโตของเมืองอย่างยั่งยืน การเพิ่มขีดความสามารถของระบบขนส่งเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เมืองต่างๆ จำเป็นต้องปรับปรุงระบบให้ทันสมัยเพื่อรองรับความต้องการในระยะยาว

นายซาฟดาร์ คาน กล่าวอีกว่า หากมองอีกแง่หนึ่ง การที่ระบบขนส่งในเมืองใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่พัฒนาอย่างเต็มที่ หมายความว่าเมืองต่างๆ ยังมีโอกาสในการพัฒนาระบบชำระเงินแบบบูรณาการ (Integrated Payment System) มาปรับใช้ได้ ซึ่งนี่จะช่วยให้ผู้โดยสารสามารถจ่ายค่าโดยสารผ่านบัตรเครดิต/เดบิตแบบไร้สัมผัส (Contactless), กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรืออุปกรณ์สวมใส่ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก

 ระบบดังกล่าวเป็นระบบการจ่ายค่าโดยสารแบบเปิด (Open-loop) ซึ่งแตกต่างจากระบบปิด (Closed-loop) ที่ต้องใช้บัตรโดยสารที่ออกแบบมาเฉพาะกับระบบนั้น ส่งผลให้ระบบแบบเปิดเป็นทางเลือกที่ช่วยลดความยุ่งยากในการใช้งานสำหรับผู้โดยสาร และเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวที่ไม่ต้องซื้อบัตรหรือเรียนรู้ระบบใหม่ 

นอกจากนี้ระบบ Open-loop ยังช่วยให้ผู้ให้บริการขนส่งสามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการให้บริการเป็นหลัก โดยไร้ความกังวลจากการบริหารจัดการระบบชำระเงินที่ซับซ้อน อีกทั้งยังสามารถช่วยลดต้นทุนค่าบำรุงรักษาระบบบัตรโดยสารแบบเก่า ลดปัญหาการสูญเสียรายได้จากบัตรหมดอายุหรือสูญหาย และยังสามารถเพิ่มรายได้จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากความสะดวกในการใช้บัตรหรืออุปกรณ์ที่มีอยู่แล้ว ในขณะเดียวกันการพัฒนาระบบจ่ายเงินยังเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสาร เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนและจัดสรรทรัพยากรในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย