นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร.ได้เกาะติดสถานการณ์รายได้ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT หลังบริษัท คิง เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ยื่นหนังสือขอยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรีกับ AOT ซึ่งจะกระทบต่อรายได้ของ AOT โดยในครึ่งหลังของปีนี้ AOT มีเป้าหมายการนำส่งรายได้เข้าคลังประมาณ 3 พันล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้ของ AOT ประมาณ 33% มาจากสัญญาเช่าของคิงเพาเวอร์ และจากจำนวนดังกล่าว 10-20% มาจากพื้นที่ที่คิงเพาเวอร์ขอคืนการเช่า ส่วนที่เหลือ 70-80% มาจากการเช่าพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ และแม้ว่ารายได้ที่จะหายไปอาจจะไม่มาก แต่หากรายได้หายไป ก็จะทำให้รัฐเสียประโยชน์ไปด้วย อย่างไรก็ดี เชื่อว่า หากมีการยกเลิกสัญญาแล้ว ทาง AOT ก็จะต้องจัดหาผู้เช่าพื้นที่รายต่อไป
“หากคิงเพาเวอร์ได้รับการยกเลิกสัญญา แม้ว่า จะทำให้รายได้ของ AOT หายไปไม่ได้เยอะ แต่ถือว่า รัฐก็จะขาดผลประโยชน์ ฉะนั้น AOT ก็ต้องหาคนประมูลใหม่ รัฐก็อาจจะไม่เสียหาย”
ขณะเดียวกัน หาก AOT ยกเลิกสัญญาการเช่าต่อคิงเพาเวอร์ ในฐานะที่กระทรวงการคลังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใน AOT เราก็ต้องรอฟังคำชี้แจงจาก AOT เช่นเดียวกันกับผู้ถือหุ้นรายอื่น แต่ในฐานะที่คลังเป็นผู้กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ก็ต้องติดตามเรื่องการยกเลิกสัญญาดังกล่าวและกรณีที่จะมีผลต่อสถานการณ์รายได้ของรัฐ
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น เราประเมินว่า หากคิงเพาเวอร์ได้รับการยกเลิกสัญญา ก็จะต้องมีการจ่ายค่าปรับให้กับทาง AOT โดยการยกเลิกสัญญาเช่านั้น ทาง AOT และ คิงเพาเวอร์จะต้องปฏิบัติตามสัญญา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ได้ส่งหนังสือถึง AOT เพื่อขอหารือแนวทางการยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานหลัก 5 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่
ทั้งนี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายประการ อาทิ การหยุดดำเนินการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าจากนโยบายรัฐ การลดภาษีสินค้าไวน์ที่กระทบต่อยอดขายในร้านดิวตี้ฟรี การคืนพื้นที่บางส่วนของ ทอท. รวมถึงการขาดมาตรการเชิงรุกของภาครัฐในการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีน
นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาวะสงครามระหว่างประเทศ และการซะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามสัญญา และต้องเผชิญภาวะขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยยืนยันว่า ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นเหตุสุดพิสัย ที่ไม่เกิดจากการกระทำหรือความผิดของบริษัท