พลตรี ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาค 2 โพสต์ข้อความผ่านช่องทางส่วนตัว สะท้อนสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยหยิบยก บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 (MOU43) มาไล่เรียง พร้อมแนบหมายเหตุส่วนตัวในเชิงตั้งคำถามและวิจารณ์ท่าทีของฝั่งกัมพูชาอย่างตรงไปตรงมา
รองแม่ทัพภาค 2 เริ่มต้นด้วยการอ้างถึงเจตนารมณ์ร่วมระหว่าง รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและกัมพูชา ที่หวังใช้การปักปันเขตแดนทางบกเป็นแนวทางลดความขัดแย้ง และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่กลับตั้งคำถามทันทีว่า “เจตนาที่ดี?” ซึ่งอาจสะท้อนความไม่แน่ใจในความจริงใจของฝ่ายตรงข้าม
จากนั้นจึงกล่าวถึงการจัดตั้ง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งเป็นกลไกที่ถูกออกแบบมาเพื่อการเจรจาโดยสันติ พร้อมตั้งคำถามว่า นี่คือแนวทางที่ “ตามหลักสากลและประเทศที่เจริญทางความคิด?” หรือไม่
ในหมายเหตุที่ 3 รองแม่ทัพอธิบายถึงสาระสำคัญของ MOU43 โดยเฉพาะข้อ 3(1)(จ) ซึ่งระบุถึงการจัดทำแผนที่และหลักเขตแดนร่วมกัน โดยมีเป้าหมายให้เป็นไปตามหลักสันปันน้ำและสนธิสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ แต่ก็ไม่ลืมแสดงมุมมองว่า การตีความในทางปฏิบัติอาจแตกต่างจากหลักการที่เขียนไว้
หมายเหตุข้อ 4 รองแม่ทัพระบุชัดว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิด MOU43 มากกว่า 600 ครั้ง นับตั้งแต่การก่อสร้างกาสิโน อาคาร สิ่งปลูกสร้าง ไปจนถึงการตัดถนนและปลูกพืชในพื้นที่พิพาท โดยไทยพยายามประท้วงและเจรจา แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือ ล่าสุดเหตุการณ์ลุกลามถึงขั้นเผาศาลาตรีมุขและขุดคูเลทล้ำแนวอธิปไตยของไทย ส่งผลให้เกิดการปะทะและต้องใช้แรงกดดันในหลายรูปแบบกว่าฝ่ายกัมพูชาจะยอมถอนกำลังออกไป รองแม่ทัพตั้งคำถามสะเทือนใจว่า “เพื่อนบ้านที่ดีควรทำเช่นนี้หรือไม่?”
ในหมายเหตุสุดท้าย อ้างถึง MOU43 ข้อ 8 ที่ระบุชัดว่า หากมีข้อพิพาทใดๆ ควรใช้การเจรจาเป็นหลัก รองแม่ทัพจึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดกัมพูชาจึงเลือกฟ้องศาลโลก ทั้งที่ยังมีช่องทางพูดคุยกันอย่างสันติ พร้อมจบโพสต์ด้วยข้อความร้อนแรงว่า “เป็นเด็กที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม บอกกล่าวก็ดื้อด้าน ไม่ต้องมีข้อตกลงใดๆ ดีไหม เอาให้เละก่อนโต”
แม้ถ้อยคำดังกล่าวจะสะท้อนความไม่พอใจอย่างรุนแรง แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันสะสมจากฝั่งไทยที่รู้สึกว่าความอดทนและความพยายามทางการทูตไม่ได้นำมาซึ่งความร่วมมืออย่างแท้จริง บทสนทนาเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา จึงกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง และอาจนำไปสู่การทบทวนกรอบความร่วมมือในอนาคต ท่ามกลางการเฝ้าจับตาจากสาธารณชนอย่างใกล้ชิด