รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับจีนยังเป็นประเด็นปัญหาที่น่าเป็นห่วง และจะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าทั้ง 2 ประเทศดังกล่าวจะมีการเจรจา แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นแค่ข้อตกลงในการผ่อนคลายเท่านั้น ไม่ใช่การจบปัญหา
โดยในความคิดเห็นส่วนตัวมองว่าสหรัฐฯคงยินยอมลดการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีระดับสูงให้จีนเท่านั้น ส่วนของบริษัทอินวิเดีย (NVIDIA) คงไม่ยอมผ่อนคลายให้
ขณะที่จีนเองก็คงผ่อนคลายให้แค่กรณีเรื่องแร่หายาก เรื่องนักเรียน คงไม่ใช่ทั้งหมด ด้านการเก็บภาษีเหล็กกับอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% ก็ยังอยู่ เช่นเดียวกับการเก็บภาษีรถยนต์ 25%
อย่างไรก็ดี ประเด็นการผ่อนคลายดังกล่าวเป็นแค่เพียงกับจีนเท่านั้น ส่วนประเทศอื่นที่ทำข้อตกลงจบไปแล้วคืออ้งกฤษ ขณะที่อีกกว่า 50 ประเทศยังไม่จบ อีกทั้งหลังจากนี้เป็นต้นไปโลกคงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เนื่องจากสหรัฐฯจะยังมีการกีดกันทางการค้าระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ ล่าสุดหากดูข้อมูลจากธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งได้มีการวิเคราะห์สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจะมีผลทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวเหลือ 2.3% จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.7% โดยเป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนว่าการค้าโลกจะถูกกระทบ หรือเรียกว่าถูกกระทบไปทั้งหมดทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นปัญหาเรื่องเสถียรภาพทางการคลังของสหรัฐ จากการก่อหนี้สาธารณะเพิามอีกไม่ต่ำกว่า 2.5-3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะมีผลต่อกลไกลการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งไทยจะได้รับผลกระทบไปด้วย
รศ.ดร.สมชาย กล่าวอีกว่า ช่วง 4 เดือนแรกของปี 68 การส่งออกของไทยถือว่าทำได้ดี แต่การท่องเที่ยวชะลอลงอย่างมาก มีการขายตัวของนักท่องเที่ยวเพียง 2-3 ล้านคน โดยที่เคยตั้งว่าปีนี้จะมีผู้เดินทางมายังไทย 40 ล้านคนอาจจะไม่ได้ตามเป้า หรือมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาถึง 30 ล้านคนก็ถือว่าดีมากแล้ว
ส่วนเรื่องงบประมาณก็ต้องสงวนไว้ 1.5 แสนล้านบาท เพื่อเก็บไว้เป็นกระสุนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านการลงทุนของเอกชนน่าจะขยายตัวชะลอลงเล็กน้อย ขณะที่การบริโภคก็ถูกจำกัดโดยหนี้สาธารณะ เรื่องดังกล่าวเหล่านี้จึงเป็นปัญหาที่น่าห่วงมากที่สุด
“ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา อาจจะมีผลกระทบต่อการค้าบริเวรณดังกล่าวบ้างแต่เชื่อว่าไม่ได้มากมายเท่าใดนัก และเชื่อว่าสถานการณ์คงถูกคลี่คลายโดยเร็ว ไม่น่าจะยืดเยื้อ”