นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในการปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Thailand Transformation for The Next Decade: ทิศทางไทยในการปรับตัวสู่ทศวรรษใหม่ ว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี โดยเฉพาะการเข้าสู่ยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับวิธีคิดของทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศในทุกมิติ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การบริการ ไปจนถึงการบริหารจัดการข้อมูล (Big Data)
ทั้งนี้ บทบาทของภาครัฐต้องเปลี่ยนจากผู้ให้บริการแบบเดิม มาเป็นผู้ส่งเสริมให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนาเศรษฐกิจจำเป็นต้องอาศัยการลงทุนที่มากขึ้น ทั้งจากภาครัฐและเอกชน
โดยตั้งเป้าให้มีสัดส่วนการลงทุนมากกว่า 30% ของจีดีพี รวมถึงปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้สอดรับกับความต้องการของนักลงทุน เช่น การจัดหาพลังงานสะอาด ราคาค่าไฟที่เหมาะสม ความมั่นคงของน้ำ และระบบขนส่งที่ทันสมัย
นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินให้มีความยืดหยุ่น รองรับการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจในระยะยาว
อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทยต้องผลิตบุคลากรที่มีทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อแข่งขันกับโลกสมัยใหม่
ด้านภาคเอกชนเองต้องเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล มีการยกระดับอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น ยานยนต์ไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า หรือ (EV) แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและเทคโนโลยี แต่ต้องกล้าเริ่มต้นและลงทุน ในภาคเกษตรกรรม ประเทศไทยยังขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับตลาดโลกได้ จึงจำเป็นต้องใช้ไบโอเทคโนโลยี และการจัดการซัพพลายเชนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการผลิตเกินความต้องการ”
ส่วนการท่องเที่ยวต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เน้นประสบการณ์และความยั่งยืนมากกว่าการบริโภคจำนวนมาก รัฐบาลตั้งเป้าหมายในการผลักดันประเทศไทยจากการเป็นแค่ฐานการผลิตหรือผู้รับจ้างผลิต ไปสู่การมีแบรนด์ของตัวเองที่เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก
“ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความกล้าหาญ ความต่อเนื่อง และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการเปลี่ยนผ่านประเทศอย่างเป็นระบบ สู่ทิศทางใหม่ที่มั่นคง ยั่งยืน และสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างแท้จริง”