บาฟส์จี้รัฐแก้คอร์รัปชั่นก่อนแพ้เวียดนาม ชี้น่ากลัวกว่าทรัมป์

28 พ.ค. 2568 | 00:19 น.

บาฟส์จี้รัฐบาบเร่งแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นก่อนแพ้เวียดนาม หลังเป็นต้นทุนภาษีที่หลายองค์กรต้องจ่าย ชี้น่ากลัวกว่านโยบายทรัมป์

ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะกลางจะต้องมุ่งเน้นไปที่การลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 

ทั้งนี้ ต้องเรียนว่ามีปัจจัยที่น่าเป็นห่วงมากกว่าการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 36% จากสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้มีการระบุถึงซึ่งเป็นต้นทุนที่หลายองค์กรต้องจ่ายคือคอร์รัปชันแท็ก (Corruption Tax) หรือภาษีที่เกิดขึ้นจากการทุจริตคอร์รัปชัน 

โดยต้องเสียโครงการละ 30% ซึ่งมาถูกนำมาบวกไปมาก็จะเป็นภาษีที่มากกว่าทรัมป์เรียกเก็บ ซึ่งรัฐบาลต้องจัดการปัญหานี้ให้ได้ โดยจะทำให้ไทยสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว การลงทุนจะได้คุ้มค่า ประชานจะได้ของดีที่มีคุณภาพ ได้ระบบสาธารณูปโภคที่ดี 

ม.ล.ณัฐสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันที่ประเทศเวียดนามมีบริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจากการแก้ปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง สามารถจัดการได้หมดทั้งเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับสูง นักธุรกิจระดับใหญ่ของประเทศ

บาฟส์จี้รัฐแก้คอร์รัปชั่นก่อนแพ้เวียดนาม ชี้น่ากลัวกว่าทรัมป์

หากพบการทุจจริตจะถูกลงโทษทั้งหมดแบบเสมอภาค ถึงขั้นประหารชีวิต มีการดำเนินการอย่างจริงจังก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าทำ หน่วยงานใดที่ใหญ่เกินไปก็มีการรีดออก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดหมุนเวียนคนไปไว้ที่อื่น ทำให้สามารถแข่งขันได้ และมีความน่าดึงดูดการลงทุนอย่างยิ่ง 

นอกจากนี้ ยังมีการกระตุ้นพัฒนาเรื่องการศึกษาให้ประชาชนด้านอาชีวศึกษาสามารถตอบโจทย์ด้านการผลิต โดยมีจังหวัดหนึ่งส่งเสริมการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งเวลานี้ไทยตามเวียดนามไม่ทันเรื่องการส่งเสริมการลงทุน 

“การแก้ปัญหาในระยะยาวต้องจัดการให้ได้เรื่องทุจริตคอร์รัปชัน และลงทุนในสิ่งที่เป็นประโยชน์ในระยะยาวเช่น เรื่องการศึกษา วันนี้ไทยขาดแคลนแรงงาน จากประชากรที่ลดลง และคนไทยนิยมเรียนสายสังคม ไม่เรียนสายอาชีพ หากจะไปแข่งในภาคการผลิตก็จะไม่มีคนทำงาน ตอนนี้สายเทคนิค สายอาชีวะไม่มีแล้ว หากไม่ส่งเสริมอีกหน่อยจะเหนื่อยมาก สุดท้ายไทยก็ต้องเปิดรับคนต่างชาติให้เข้ามาทำงาน ซึ่งก็จะเป็นประเด็นที่ค่อนข้างอ่อนไหว โดยรัฐบาลคงไม่กล้าทำ เนื่องจากกลัวถูกหาว่าขายชาติ“

ม.ล.ณัฐสิทธิ์ กล่าวต่อไปอีกว่า กระทรวงศึกษาธิการต้องเตรียมความพร้อม ในระยะยาว รัฐบาลต้องมีภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง กล้าที่จะบอกประชาชนว่านี่คือวิกฤติ หากไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ภาพในอีก 20-30 ปี จะต้องแย่อย่างแน่นอน และการกระตุ้นเศรษฐกิจจะทำได้ยาก