นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงประเด็นที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุถึงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือจีดีพีไทยไตรมาส 1/68 โต 3.1% และทั้งปี 68 จะขยายตัวแค่ 1.8% ว่า
อัตรการเติบโตขอจีดีพีไตรมาส 1/68 ถือว่ายังดูดี ท่ามกลางสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยที่เปรียบเสมือนถูกดาวราหูทับโลกจากการเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของนายโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 68 เป็นต้นมา
โดยที่ปัจจบุันไทยก็ยังถูกกระทบอยู่ อีกทั้งยังต้องประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุดซึ่งแม้จุดศูนย์กลางจะอยู่ที่ประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 อีก ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากเรื่องความปลอดภัย และแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่แพร่ระบาดเป็นอย่างมาก
อีกทั้งยังต้องประสบปัญหาเรื่องของการถูกทุบตลาดจากสินค้าจีนที่ไหลเข้าสู่ไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทบกับขีดความสามารถในการแข่งขันตลาด ทำให้รัฐบาลต้องเร่งออกมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีการประชุมพิจารณาแนวทางกันวันนี้ (19 พ.ค. 68)
ซึ่งภาคเอกชนเองมีความคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือ โดยต้องการให้มุ่งเน้นเรื่องของการจ้างงาน และการสนับสนุนทางด้านสินเชื่อสำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางด้านภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งวงเงินจะอยู่ที่เท่าไหร่ไม่สามารถระบุได้
ส่วนกรณีที่ไทยจะเปิดให้มีการทำวีซ่า 10 ปี สำหรับนักลงทุนที่สร้างประโยชน์ให้ประเทศนั้น ส.อ.ท. เห็นด้วยกับการดำเนินมาตรการดังกล่าว เพราะในสหรัฐฯเองก็มีการใช้แนวทางดังกล่าวนี้ เพื่อดึงดูผู้ที่มีความสามารถเข้าประเทศ
นายอภิชิต ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ส.อ.ท. มีความกังวลเรื่องผลกระทบจากมาตรการภาษีจากสหรัฐฯที่ใกล้จะครบกำหนดการผ่อนคลายในเดือน ก.ค. โดยเป้าหมายของไทยคือลดภาษีนำเข้าจาก 36% ให้เหลือ 10% หรือหากตำกว่าระดับดังกล่าวก็จะดีอย่างมาก
อย่างไรก็ดี หากสามารถลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯได้ตำกว่าประเทศคู่แข่งได้ก็ยิ่งดี เพราะมีผลต่อความสามารถในการแข่งขัน โดย ส.อ.ท.เองก็มีส่วนในการนำเสนอ 5 แนวทางที่ไทยจะใช้การเจจากับสหรัฐ
“หากการเจรจากับสหรัฐฯเป็นไปในทิศทางที่ดี จะเป็นประโยชน์กับไทยอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้มีบางอุตสาหกรรมที่ถูกกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯไปแล้ว เช่น ชิ้นส่วนยานยต์ และเหล็ก เป็นต้น”
อย่างไรก็ตาม หากถามว่ารัฐควรดำเนินการแจกเงินดิจิทัลเฟส 3 ต่อไปหรือไม่ มองว่าจะต้องพิจารณาให้ดีว่าการดำเนินการดังกล่าวสามารถสร้างผลกระทบ หรือกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน โดยจากผลศึกษาที่ผ่านมาส่วนใหญ่ระบุตรงกันว่าไม่ได้ช่วยสักเท่าใดนัก ดังนั้น หากรัฐยังยืนยันที่จะแจกเงินดิจิทัลเฟส 3 ก็จะต้องทบทวนให้ดีที่สุด
สำหรับแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มองว่าน่าจะเกิดประโยชน์ก็คือการสนับสนุนให้ใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailanf) เป็นหลัก