วันนี้ (14 พ.ค.2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงถึงความคืบหน้าการเจรจาเรื่องกำแพงภาษีกับสหรัฐอเมริกาว่า ประเทศไทยได้ยื่นข้อเสนอให้สหรัฐฯ ผ่านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ถึง นายเจมสัน กรีเออร์ ประธานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมาแล้ว
โดยเนื้อหาได้เสนอกรอบการหารือที่ผ่านการพิจารณาจากคณะทำงานนโยบายการค้า และผ่านความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งประกอบไปด้วยการเจรจา 5 เสาหลัก ดังนี้
1.ความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ไทย- สหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูป และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล (Data Center and AI Industry) และการพิจารณาดำเนินการลดอุปสรรคทางการค้าทั้งภาษีและไม่ใช่ภาษี
2.เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าพลังงาน สินค้าเกษตร และเครื่องบิน ส่วนประกอบและอุปกรณ์บริการ โดยปลัดกระทรวงพลังงานพร้อมด้วยผู้บริหาร บริษัท ปตท. จำกัด มหาชน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด ได้เดินทางไปรัฐอลาสกา เพื่อหารือกับผู้ว่าการรัฐอลาสกา รวมถึงบริษัทด้านพลังงานของสหรัฐฯ เพื่อหาโอกาสและเพิ่มความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างไทย – สหรัฐฯ
3.การเปิดตลาดสาขาเกษตรของไทย อาทิ ผลไม้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
4.การบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งไทยได้เริ่มการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายแล้วอย่างจริงจัง โดยเราได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งเจ้าที่กรมขนส่งสหรัฐอเมริกามีความพึงพอใจในระดับหนึ่ง
5.ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น โดยขณะนี้นางนลินี ทวิสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย รวมถึงภาคเอกชนชั้นนำของไทย อยู่ระหว่างเดินทางเยือนสหรัฐฯ เพื่อเข้าร่วมงาน Select USA Investment Summit 2025 เพื่อไปดูลู่ทางการลงทุนในสหรัฐฯ ด้วย
นายพิชัย กล่าวว่า ล่าสุด นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รมว.คลังสหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีเป็นบวกต่อข้อเสนอของไทย โดยได้พูดถึงประเทศไทย ในการขึ้นเวที Saudi Arabia Investment Forum เมื่อวันที่ 13 พ.ค.68 โดยรมว.คลังสหรัฐฯ มีท่าทีเป็นบวก และกล่าวว่าเป็นข้อเสนอที่ดี แบบเดียวกับที่พูดถึงข้อเสนอของอินโดนีเซีย และไต้หวัน สิ่งเหล่านี้จึงเป็นสัญญาณบวกจากระดับนโยบายของสหรัฐฯ และคาดได้ว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในระดับทำงานพิจารณาในรายละเอียดต่อไป
“อาจต้องใช้เวลาประมาณในการดำเนินการต่อไป สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าที่สหรัฐฯ พิจารณาให้ความสำคัญ และพร้อมที่จะหารือเพื่อหาข้อยุติในส่วนของมาตรการภาษีต่างตอบแทน และจะนำไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างสร้างสรรค์ต่อไป” รองนายกฯ ระบุ
รองนายกฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้พูดคุยกันเป็นระยะในระดับผู้ปฏิบัติงาน ข้อเสนอของไทยเป็นข้อเสนอที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ ถึงแม้เราจะมีการนำเข้ามากขึ้น แต่ก็คิดถึงการส่งออกมากขึ้นด้วย และเมื่อนำเข้ามากขึ้น การส่งออกก็มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐฯ มีความต้องการสินค้าของไทยอยู่ และทำอย่างไรไม่ให้ผู้ผลิตในไทยได้รับผลกระทบ และของที่นำเข้าต้องเป็นของที่ไทยได้ประโยชน์ และส่งผลดีต่อต้นทุนผลิตสินค้าแปรรูปของไทยเพื่อส่งออก
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการพูดคุยกับสหรัฐฯ ภายในเดือน พ.ค.นี้หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า มีหลายประเทศ ซึ่งจากที่เห็นวิธีการ สหรัฐฯ จะพยายามตกลงกับประเทศใหญ่ๆ ก่อน เพราะจะมีเงื่อนไขมาก มีสินค้าหลายประเภท จึงประเมินได้ว่าเมื่อมีหลักใหญ่ ๆ ของหลายประเทศแล้วก็คงใช้เป็นกรอบ และอาจใช้เป็นแนวทางในเรื่องแบบเดียวกัน
ส่วนของไทย จะโฟกัสเรื่องของการนำเข้าสินค้าเกษตรที่สหรัฐฯ ต้องการส่งออก ที่ผ่านมาก็ตรงกัน ส่วนที่จะคุยเมื่อไหร่นั้น เชื่อว่า ในระดับเจ้าหน้าที่ทราบแล้ว ถ้าคุยแล้วนอกเหนือจากนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เชื่อว่า สหรัฐฯ คงรอเวลา เพราะในส่วนของ USTR มีเจ้าหน้าที่อยู่ประมาณ 200 กว่าคน ต้องแบ่งงานกันทำ จึงขึ้นอยู่กับว่า จะคุยกันเมื่อไหร่
เมื่อถามถึงจะมีการหารือในระดับรัฐมนตรีเมื่อใด นายพิชัย กล่าวว่า จากที่ดูตอนนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เดินทางไปต่างประเทศต่อเนื่อง ถ้ามีจังหวะดี ๆ ก็คงจัดคิวดูว่า ใครจะอยู่ในกลุ่มที่จะเข้าไป ซึ่งหวังว่า จะเกิดขึ้นในเร็ววัน เพราะในระยะเวลา 90 วันที่ให้ไว้ ขณะนี้ผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้ว
เมื่อถามถึงการลงทุนในสหรัฐฯ เป็นสินค้าประเภทไหน นายพิชัย กล่าวว่า สิ่งที่เราจะไปลงทุนต้องมีลักษณะ 2 อย่างคือ 1.เรามีขีดความสามารถที่จะดำเนินการ ซึ่งในระยะหลังเรามีความสามารถในด้านกระบวนการผลิตและบริการในส่วนของรถยนต์ และ2.สิ่งที่เรามีความชำนาญ และต้องการนำเข้า ซึ่งต้องดูว่า นอกจากนำเข้าแล้วเราไปลงทุนร่วมได้หรือไม่
เมื่อถามว่า ขณะนี้ภาษีจีนอยู่ที่ 30% แต่ของไทยอยู่ที่ 36% มีความกังวลเรื่องนี้หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ตัวเลขเหล่านั้นสะท้อนได้ 2 เรื่อง โดยคำนึงถึงขนาดเศรษฐกิจ คำนึงแต่สัดส่วนที่ประเทศคู่ค้าได้เปรียบดุลการค้าจากสหรัฐฯ สิ่งที่เรากำลังจะทำต่อไปลดสัดส่วนการดุลการค้าได้แน่นอน และเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย เมื่อลดการขาดดุลได้ตนคิดว่า ตัวเลขก็ไม่น่าจะอยู่อย่างนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อเสนอทั้ง 5 ข้อ ยังเป็นไปตามเป้าหมายเดิมหรือไม่ คือ การลดการเกินดุล 5% ใน 5 ปี นายพิชัย กล่าวว่า แน่นอน เมื่อเราทำแบบนี้ก็มานั่งเปรียบเทียบดูว่า มีอะไรเพิ่ม อะไรลด เราจะโชว์ให้เขาดูว่า การลดการขาดดุลใน 5 ปี มีเท่าไหร่ เพราะจริง ๆ สิ่งที่จะมีผลมากคือ สิ่งที่จะนำเข้ามา เช่น ปิโตรเคมี พลังงาน รวมถึงเครื่องบิน และเรามีข้อมูลให้ดูว่า สิ่งที่เกินดุลของสหรัฐฯ หลายบริษัทก็อาจจะนำสิ่งนี้มาพิจารณาด้วย
เมื่อถามว่า คาดการณ์ตัวเลขภาษีจะอยู่ที่เท่าไหร่ นายพิชัย กล่าวว่า วันนี้ทุกคนได้แต่คาดเดาว่า สหรัฐฯ ต้องการตัวเลขภาษีเพิ่มขึ้น และมองเห็นตัวเลข 10% น่าจะใช้ขั้นต่ำเท่านี้ ซึ่งจะทำให้สินค้าบางประเภทมีอัตราที่เสี่ยงไป ในส่วนของเราสิ่งที่เกี่ยวข้องจริง ๆ คือ สินค้าเกี่ยวกับยานยนต์ เชื่อว่า คงได้ใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ เพราะไม่เห็นประเด็นที่เราแตกต่างกับคนอื่น หากการเจรจาจบ
เมื่อถามย้ำว่า คาดหวังที่ 10% ใช่หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า เกือบทุกชนิด สหรัฐฯ คงคิดว่า น่าจะยืนอยู่ในระดับ 10%
เมื่อถามว่า รัฐบาลมองว่า การทำงานในครั้งนี้ล่าช้าไปหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า เราเป็นประเทศคู่ค้าที่ไม่ได้อยู่ในเทียร์ 1 และเราอยากฟังว่า เขาคุยอะไรกับประเทศใหญ่ๆ เพราะมีสินค้าบางชนิดที่เหมือนเรา ดังนั้น ถ้าพูดกันตามตรง เวลาที่เขายังไม่คุยเราก็อาจจะรู้สึกว่า ทำไมไม่คุยสักที แต่ถ้ามองไปแล้ว จะทำให้รู้ว่า เขาคุยอะไรกับคนอื่นบ้าง ซึ่งการคุยในจังหวะที่เหมาะสมน่าจะดีที่สุด คิดว่า ไม่ช้า เพราะคงจะจบไล่ๆ กัน ตนมองทางนั้นก็คงอยากเห็นทุกอย่างจบในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน