นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการ PPP) ครั้งที่ 1/2568 เปิดเผยว่า เมื่อวันอังคารที่ 6 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบหลักการโครงการโครงการท่าเทียบเรือ บี1 และ บี2 ท่าเรือแหลมฉบังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)
โดยเป็นการควบรวม 2 ท่าเทียบเรือเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มความยาวหน้าท่าของท่าเทียบเรือ เพื่อให้สามารถรองรับเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการในรูปแบบ PPP Net Cost มูลค่าโครงการรวม 12,819 ล้านบาท
“เอกชนจะรับผิดชอบการปรับปรุงสิ่งปลูกสร้าง ลงทุนจัดหาอุปกรณ์ เครื่องมือและเทคโนโลยีสำหรับการยกขนสินค้า ตลอดจนรับผิดชอบในการดูแลบำรุงรักษา และบูรณะสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร รวมถึงการบริหารจัดการโครงการ”
ขณะที่ กทท. จะกำกับดูแลและติดตามตรวจสอบคุณภาพการดำเนินงานของภาคเอกชน และได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายปีตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งนี้ โครงการมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 หมุดหมายที่ 5 ที่มุ่งให้ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค
โดยโครงการจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานจากการใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และทำให้สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าได้มากขึ้น ตลอดจนสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ
นอกจากนี้ คณะกรรมการ PPP ยังได้เห็นชอบการปรับปรุงแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน พ.ศ. 2563 - 2570 (แผนร่วมลงทุนฯ) เพื่อให้สอดคล้องกับความพร้อมของแต่ละโครงการและเป็นปัจจุบัน โดยมีรายการโครงการที่ประสงค์จะดำเนินการในรูปแบบ PPP รวม 139 โครงการ มูลค่ารวม 9.21 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ แผนร่วมลงทุนฯ ข้างต้น จะเป็นกรอบทิศทางการจัดทำโครงการ PPP ของประเทศที่ชัดเจน และจะช่วยสร้างความสนใจและดึงดูดให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการของรัฐมากขึ้น โดยแผนร่วมลงทุนฯ ฉบับนี้ได้ครอบคลุมถึงโครงการเชิงสังคมในด้านต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ด้านสาธารณสุข และด้านการจัดการน้ำและบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น
“คณะกรรมการ PPP ยังได้เร่งรัดโครงการร่วมลงทุนต่างๆ ให้สามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนงาน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น”