4 ปลัดคลัง ย้อนเวลาฝ่าวิกฤต วางเป้าเก็บรายได้โต 18% ใช้งบสมดุล

03 พ.ค. 2568 | 11:10 น.
อัปเดตล่าสุด :03 พ.ค. 2568 | 11:21 น.

4 ปลัดคลัง ย้อนเวลาเล่าเรื่องฝ่าวิกฤต เสาหลักดูแลเศรษฐกิจไทย วางเป้าเก็บรายได้โต 18% กลับมาใช้งบประมาณสมดุล ดันจีดีพีโต 5%

กระทรวงการคลังได้จัดงาน MOF Journey 150 ปี เส้นทางกระทรวงการคลัง เนื่องในโอกาสครบรอบ 150 ปี กระทรวงการคลัง ภายในงานได้จัดเวทีเสวนา หัวข้อ “ย้อนเวลากับเรื่องเล่าคนคลัง” กับปลัดกระทรวงการคลังในแต่ละยุค ได้แก่ ดร.อรัญ ธรรมโน, หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล, ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์, และนายลวรณ แสงสนิท 

โดยดร.อรัญ ธรรมโน อดีตปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเสวนา “ย้อนเวลากับเรื่องเล่าคนคลัง” ในงาน MOF Journey 150 ปี เส้นทางกระทรวงการคลัง ว่า ตนรับราชการครั้งแรก ช่วงเดือนมิ.ย.2497 และดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังในปี 2536 ช่วงนั้นตนทำงานที่กระทรวงการคลังไม่ถึง 1 ปี ก็ย้ายไปทำงานที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ และกลับมาทำงานที่กระทรวงการคลังอีกครั้ง ในช่วงเดือนมิ.ย.2504 

ดร.อรัญ ธรรมโน อดีตปลัดกระทรวงการคลัง

ทั้งนี้ ตนอยู่ในยุคที่มีการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ขึ้นมา จากดำริของ นายสุนทร หงส์ลดารมภ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยนั้น ทั้งนี้ อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้พยายามตั้งวินัยการเงินการคลังขึ้นมา ได้แก่ ตั้งงบลงทุน 30%ของงบประมาณ กำหนดกรอบเงินเฟ้อ และให้กู้เงินกับธนาคารโลก ซึ่งก็เป็นวินัยทางการเงินการคลังที่สศค. ยึดถือมาจนถึงปัจจุบัน  

บริหารงบเกินดุล ตั้งงบลงทุนสูงกว่า 30%

ดร.อรัญ กล่าวว่า ตนไม่คิดว่าตัวเองจะได้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งปลัดขณะนั้น มีอายุราชการเท่ากัน ตนไม่มีทางได้เป็นปลัดแน่นอน แต่เคราะห์ร้ายท่านเสียชีวิต จึงได้เข้ามาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังแทน โดยสมัยนั้น เป็นช่วงที่ดี รัฐมนตรี เป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยขอให้ทำอะไรที่ไม่ควรทำ จึงทำให้ใน 3 ปีนั้นได้แก่ ปี 2536-2538 เราสามารถใช้งบประมาณเกินดุล และตั้งงบลงทุนมากกว่า 30% ได้ทั้ง 3 ปี ถือเป็นผอ.สศค. และปลัดกระทรวงการคลังคลัง ที่โชคดี ที่เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นในสมัยตน

4 ปลัดคลัง ย้อนเวลาฝ่าวิกฤต วางเป้าเก็บรายได้โต 18% ใช้งบสมดุล  

“งานราชการเป็นงานที่ง่าย ไม่ได้อาศัยความรู้ความสามารถมากมาย แต่อาศัยความตั้งใจ ซื่อสัตย์สุจริต ตั้งใจรับใช้บ้านเมือง ส่วนงานที่ทำได้สำเร็จ และภูมิใจ มีหลายเรื่อง แต่เป็นเรื่องที่เล่าไม่ได้ ส่วนความประทับใจในแง่บุคคล คือ อาจารย์ป๋วย หากไม่มีท่าน สศค. แทบจะไม่มีความหมาย และในกระทรวงการคลังยังมีผู้ใหญ่ดีๆ อีกมาก”

ฝากคลังจัดเก็บรายได้โต 18% วางเป้าจีดีพี 5%

สำหรับกระทรวงการคลัง เราเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่หลักในการดูแลทรัพย์สิน จัดเก็บรายได้ เราควรมีจรรยาบรรณในการประกอบอาชีพที่สูงกว่าวิชาชีพอื่น ซึ่งเรื่องที่เป็นห่วง คือ อยากให้กระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายการจัดเก็บภาษี เพราะขณะนี้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้นโยบายลดภาษีบ่อยๆ และมองว่าควรตั้งเป้าหมายการจัดเก็บภาษีให้ได้ 18% ซึ่งจะมีโอกาสที่จะทำให้งบประมาณกลับมาสมดุลได้ ซึ่งจะทำให้เรามีอิสระเสรีในการวางนโยบายการคลังให้มากขึ้น 

นอกจากนี้ อยากให้มีการตั้งเป้าศักยภาพการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะขณะนี้ศักยภาพเราต่ำลงเรื่อยๆ เพราะหากเราจ่ายเงินลงไปมากๆ ส่วนใหญ่จะปรากฎในรูปเงินเฟ้อ และเงินไหลไปต่างประเทศ หากตั้งเป้าให้เศรษฐกิจโต 5% ก็จะทำให้ประเทศเจริญกว่านี้ 

แยกบทบาท ธปท. ออกจากกระทรวงการคลัง

หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สิ่งที่สามารถดำเนินการในช่วงของการทำงานที่ผ่านมา คือการแยกบทบาทระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแยกบทบาทการคลัง ออกจากการเงินชัดเจน  และจัดทำกฎหมายของธปท.ด้วย แม้การทำงานธปท.กับกระทรวงการคลังจะควบคู่กัน แต่เดินคนละทางเสมอมา อย่างไรก็ตามประเทศไทย ยังจำเป็นต้องกู้เงินจากธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) 

หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง

“ในช่วงหนึ่งเศรษฐกิจไทยอ่อน ก็ต้องกู้เงินจากธนาคารโลก  แต่ไม่ยอมเรื่องเงินบาท ไม่เคยขายทองคำ หากเราต้องการเงินเยอะ ก็ต้องพิมพ์ แต่การพิมพ์ก็ไม่ใช่เรื่องทำได้ง่าย  เพราะหากมีเงินมาก ก็ใช้มาก ดังนั้นต้องใช้เงินแบบพอดี ผมขอออกตัวว่าไม่ใช่นักพูด แต่เมื่อถูกเชิญมาก็พูดเท่าที่พูดได้”

“เช็คช่วยชาติ” แก้วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ จีดีพีโตพุ่ง 7.5% 

ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ผมไม่ได้เป็นลูกหม้อกระทรวงการคลัตั้งแต่วันแรก ผมเริ่มต้นชีวิตราชการจากการเป็นอาจารย์ ที่ธรรมศาสตร์ โดยตนสอบได้ทุนที่กระทรวงการคลัง จึงกลับมารับราชการที่กรมศุลกากร 

จากนั้นได้ดำรงตำแหน่งรองผอ. สศค. และต่อมาได้มีโอกาสได้ดำรงผอ.สศค. ซึ่งได้เข้ารับตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง ช่วงปี 2552

โดยขณะนั้นในปี 2551 ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เศรษฐกิจไทยติดลบ นโยบายการคลังต้องตอบโจทย์วิกฤต เราเข้าไปดูแลประชาชน เริ่มต้นจากการออก “เช็คช่วยชาติ” สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้มีการแจกเงินคนละ 2,000 บาท เป็นเม็ดเงินรวม 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นนโยบายดูแลเศรษฐกิจระยะสั้น

ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง

”การออกนโยบายในช่วงวิกฤต ต้องออกไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุด  คือ ส่งไปยังกลุ่มฐานราก แต่ขณะนั้นยังไม่มีทะเบียนคนจน จึงส่งผ่านไปยังผู้ประกันตนแทน โดยเราแจกเช็คช่วยชาติร่วมกับสำนักงานประกันสังคม ให้ส่งเงินไปยัง ผู้ประกันตน มาตรา 33 เพื่อใช้จ่ายเงินลงไปสู่ฐานราก“

สำหรับการดูแลเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวต่อนั้น  ขณะนั้นได้มีการออกเงินกู้ไทยเข้มแข็ง 4 แสนล้านบาท แต่วงเงินยังไม่พอ ต้องร่วมกับงบประมาณ และรัฐวิสาหกิจ รวมกันแล้ว เป็นวงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท เกิดเป็นโครงการไทยเข้มแข็ง โดยมีการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลาย ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น ถนน สนามบิน และมีการปรับโครงสร้างทางสังคม เช่น การพัฒนาคน ราชการ และพัฒนาระเบียบต่างๆ 

“ไทยเข้มแข็งขณะนั้น ทำให้โครงสร้างพื้นฐานไทยดีขึ้นมา ถือว่า การบรรเทาระยะสั้น และฟื้นฟูระยะปานกลาง ทำให้จีดีพีฟื้นตัว ในปี 2552 เป็นเติบโต 7.5% ทั้งนี้ เรายังได้ปฏิรูปภาษีทรัพย์สิน ผ่านการทำภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ออกมาในปัจจุบัน จากเดิมจะเป็นการจัดเก็บภาษีโรงเรือน และภาษีท้องที่ ที่ต้องใช้ดุลพินิจเป็นอย่างมาก และยังได้เข้าไปผลักดันกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการออมที่สามารถดูแลตัวเองได้ในยามเกษียณ“ 

ย้อนวิกฤตโควิด แจกเยียวยา 2.2 แสนล้าน 

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การที่เราดำรงความเข้มแข็งมาได้ตลอด 150 ปี เพราะเรามีผู้บังคับบัญชา นำพากระทรวงการคลังผ่านช่วงวิกฤตมาได้อย่างดี และตนมีโอกาสทำงานกับทุกท่าน ทั้งนี้ ตนเริ่มต้นทำงานจากสศค. เดิมทีเป็นคนที่ไม่อยากรับราชการ วางเป้าหมายว่าจะทำงานเพียง 5 ปี และอยากทำงานทางด้านการเงินแต่ตอนนั้นไม่ได้ออกจากข้าราชการ เพราะต้องการให้พ่อกับแม่ภูมิใจ 

สำหรับงานชิ้นแรกของตน คือ การค้าเสรี AFTA ต่อมาได้รับผิดชอบงานประกันภัยด้วย โดยได้ดูแลเรื่องวิกฤตน้ำท่วมช่วงปี 2554 ได้มีการตั้งกองทุนเข้ามาดูแล ทั้งนี้ ได้วนเวียนไปเป็นผู้ตรวจราชการ และกลับมาเป็นผอ.สศค. ขณะนั้น มีสถานการณ์โควิด-19 ตนได้แจกเงิน 2.2 แสนล้านบาท เพื่อเยียวยาประชาชน ความภูมิใจ คือ ไม่มีเรื่องทุจริตแม้แต่บาทเดียว เงินส่งตรงไปให้กับประชาชน 

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง

นอกจากนี้ ได้มีโอกาสทำงานกรมสรรพสามิต ได้ทำเรื่องการสนับสนุนนโยบายการใช้รถอีวี และโยกย้ายไปกรมสรรพากร และกลับมาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง ในปี 2566

ทั้งนี้ มองว่าความท้าทายของคนกระทรวงคลัง ต้องยึดมั่นในหลักการ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของคนที่ดูเงินทองของประเทศ ส่วนเรื่องที่ท้าทายตั้งแต่ทำงานนั้น คือ ช่วงโควิด เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น การเยียวยาประชาชนทำในเวลาอันสั้น ทุกเรื่องเกี่ยวกับทุกคน และขณะนั้นได้โจทย์จากรัฐบาล ว่าอยากแจกเงินเยียวยาให้กลุ่มคนตกงาน อาชีพอิสระ ตั้งใจให้ 5,000 บาท นาน 3 เดือน 

“ถามว่าจะใช้วิธีอะไร ว่าคนไหนเดือดร้อน คนไหนควรจะได้ หรือจะใช้วิธีเดิมๆ คือ การแจกเงินผ่านทางท้องถิ่น ให้ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน แจกจ่ายให้ลูกบ้าน อย่างไรก็ตาม เราเป็นห่วงเรื่องความโปร่งใส จึงได้มีการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ครั้งแรก คัดกรองอาชีพ ฐานที่อยู่อาศัย จ่ายเงินผ่านพร้อมเพย์ โดยทำงานจ่ายเงินให้กับคนหลายล้านคน และเรื่องนี้ไม่มีความทุจริต ถือเป็นการภูมิใจของการเป็นคนคลังด้วย”

รับการบ้านเก็บภาษี 18% พัฒนาคนคลังสู่ดิจิทัล

นายลวรณ กลล่าวว่า ตนพร้อมรับการบ้าน จากอดีตปลัดกระทรวงการคลัง ที่วางเป้าหมายให้กระทรวงการคลังจัดเก็บรายได้ให้ได้ 18%ของจีดีพี ซึ่งปัจจุบันการจัดเก็บภาษีของกระทรวงการคลัง อยู่ที่ 12-13% หากทำได้จะเพิ่มเม็ดเงินเป็น 8 แสนล้านบาท เท่ากับงบประมาณที่เราขาดดุล ส่วนการขยายตัวของจีดีพี เป็น 5% เราเห็นด้วย ซึ่งจะต้องลงไปดูโครงสร้าง และต้องทบทวนการทำโครงการต่างๆ

”จากนี้ไป ในอนาคต กระทรวงการคลังจะเดินไปตามยุคดิจิทัลสมบูรณ์แบบ เราจะใช้เครื่องมือดิจิทัลมาใช้มากขึ้น ทั้งดาต้าเบจ เอไอ ในมิติการทำงาน การจัดเก็บภาษี การให้บริการดูแลประชาชน ขณะที่การสร้างคนคลังให้เหมาะสมกับดิจิทัล ในอีก 1 เดือนข้างหน้า กระทรวงการคลังกับจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย จะแถลงข่าวเปิดหลักสูตรปริญญาโท ให้ความรู้การจัดเก็บภาษี และการใช้นวัตกรรม“