“ศุภชัย พานิชภักดิ์” ชี้ทางออกภาษีทรัมป์ ดึง WTO เปิดโต๊ะเจรจา

03 พ.ค. 2568 | 07:55 น.
อัปเดตล่าสุด :03 พ.ค. 2568 | 08:02 น.

“ศุภชัย พานิชภักดิ์" ชี้ทางออกผลกระทบภาษีทรัมป์ รับบนเวที WTO ถกเครียด พร้อมเสนอเปิดโต๊ะทุกประเทศเข้าร่วมเจรจา ชี้อนาคตน่าห่วงสงครามการค้าสู่การเกิดสงครามจริง

วันนี้ (3 พฤษภาคม 2568) ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ปาฐกถาพิเศษ New World Order : รับมือระเบียบโลกใหม่ ภายในงานครบรอบ 150 ปี กระทรวงการคลัง โดยกล่าวว่า

ที่ผ่านมา ได้แนะนำให้ใช้เวทีการประชุม WTO ซึ่งเป็นเวทีใหญ่ ให้ทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา เข้ามาเจรจาหาทางออกในลักษณะเดียวกับการเจรจาการค้ารอบโดฮา (The Doha Round) หรือการเจรจาการค้ารอบที่ 6 (Kennedy Round)

“ในการประชุม WTO เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการหารือถึงแนวทางการรับมือการประกาศกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยได้แนะนำไปว่า แทนที่หลาย ๆ ประเทศจะแยกเจรจากับสหรัฐฯ ก็ขอให้รวมตัวกันมาเจรจาที่ WTO เพื่อให้เกิดการเจรจารอบใหม่ แบบ Mini Trade Round โดยให้สหรัฐฯ เข้ามาอธิบายว่ามีปัญหาอะไร จีนมีปัญหาอะไร และประเทศต่าง ๆ ได้รับผลกระทบอย่างไร แล้วจึงค่อยหาทางออก” ดร.ศุภชัย กล่าว

ดร.ศุภชัย กล่าวว่า นอกจากการใช้กลไกของ WTO เพื่อหารือกับสหรัฐฯ แล้ว ยังต้องหารือกับจีนอีกฝ่ายหนึ่งด้วย เพราะทั้งสองชาติมหาอำนาจมีบทบาทสำคัญต่อการค้าโลก ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนเองก็คงไม่สามารถเลือกข้างใดข้างหนึ่งได้ ซึ่งที่ผ่านมา อาเซียนสามารถรักษาบทบาทของตัวเองได้ดี ด้วยการไม่เลือกข้าง โดยรักษาระยะห่างเอาไว้

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ากังวลใจ ซึ่งเป็นผลมาจากช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งในวาระแรก ก็คือการเกิดขึ้นของแนวโน้ม “China Plus One” หรือการเคลื่อนย้ายของธุรกิจจีนเข้ามาในอาเซียนเป็นจำนวนมาก เพื่อหนีผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

เช่นเดียวกับประเทศไทย ที่มีบริษัทจากจีนเข้ามาลงทุนจำนวนมาก ดังนั้น การเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอลดภาษีโดยฝ่ายเดียวอาจไม่เหมาะสม ไทยควรหารือเรื่องนี้กับจีนด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต

ขณะเดียวกัน ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ควรหันมาเจรจาการค้าระหว่างกันเองมากขึ้น เพื่อลดอุปสรรคทางการค้า และเพิ่มพูนปริมาณการค้าภายในภูมิภาค พร้อมทั้งมองหาตลาดการค้าใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) รวมไปถึงประเทศขนาดเล็ก ทั้งประเทศด้อยพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา ที่อาจเป็นตลาดใหม่ที่ทดแทนตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ได้ในระดับหนึ่ง

ดร.ศุภชัย มองว่า ผลกระทบจากการประกาศกำแพงภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นปัญหาที่เกิดจากความไม่สมดุลภายในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งมีการขาดดุลการค้าปีละสูงถึง 900,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนเกินดุลการค้าปีละกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ จึงทำให้เกิดความไม่เสมอภาค แม้ว่าสหรัฐฯ จะพึ่งพาการค้าโลกเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น โดยเน้นการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก

“ปัญหาทางการค้าที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นผลมาจากระบบเศรษฐกิจโลกที่ไม่สมดุล รวมถึงปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนเกิดความขัดแย้งในหลายประเทศ จากเดิมที่เป็นเพียงเรื่องการค้าและการลงทุน อาจลุกลามกลายเป็นสงครามจริงได้ โดยในการประชุมเวที WEF ที่ผ่านมา ก็มีการแสดงความกังวลอย่างชัดเจนว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อาจจะเกิดสงครามระหว่างประเทศ และไม่อาจคาดเดาขนาดของความรุนแรงได้” ดร.ศุภชัย ระบุ

ดร.ศุภชัย ยอมรับว่า ขณะนี้มีความเป็นห่วงอย่างมากว่า แม้ประเทศยักษ์ใหญ่อาจจะยังไม่ปะทะกันโดยตรง แต่ประเทศขนาดเล็กที่เกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลของประเทศมหาอำนาจ จะได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศไทยและอาเซียน ซึ่งอยู่ในจุดกึ่งกลางระหว่างหอกสองข้าง คือสหรัฐฯ และจีน จึงต้องประคับประคองตนให้มีความเป็นกลางมากที่สุด เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับทั้งสองฝ่าย ซึ่งนับเป็นภารกิจที่ท้าทายอย่างยิ่ง