UNCTAD-ITD ส่งสัญญาณแรง ความซบเซาทางเศรษฐกิจคุกคามประเทศกำลังพัฒนา

02 พ.ค. 2568 | 08:06 น.
อัปเดตล่าสุด :02 พ.ค. 2568 | 08:10 น.

UNCTAD – ITD ส่งสัญญาณแนวโน้มของโลกที่กำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ความเปราะบางทางการเงิน ชี้ความซบเซาทางเศรษฐกิจคุกคามประเทศกำลังพัฒนา

สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD ร่วมกับองค์การการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNCTAD) และ Harvard Club of Thailand จัดงาน “The International Seminar on Trade and Development Report 2024: Rethinking Development in the Age of Discontent” นำเสนอรายงานการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำปี 2567 (UNCTAD Trade and Development Report 2024) 

โดยสะท้อนแนวโน้มของโลกที่กำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ความเปราะบางทางการเงิน และความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูประบบการค้าและการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน เพื่อสำรวจความท้าทายทางเศรษฐกิจระดับโลก และร่วมขับเคลื่อนนโยบายการค้าและการพัฒนาของประเทศไทย 

จับมือสร้างแรงต่อรองเวทีระหว่างประเทศ

 

UNCTAD-ITD ส่งสัญญาณแรง ความซบเซาทางเศรษฐกิจคุกคามประเทศกำลังพัฒนา

 

ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการ UNCTAD ปาฐกถาพิเศษ โดยระบุว่า แม้ในปี 2567 โลกจะเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงก่อนหน้า แต่ยังคงต้องเผชิญกับจุดเปลี่ยนเชิงนโยบายที่กำลังกำหนดทิศทางใหม่ของระบบการค้าโลก ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มที่หลายประเทศหันมาใช้นโยบายกีดกันทางการค้ามากขึ้น 

รวมถึงข้อจำกัดที่เพิ่มขึ้นในการเคลื่อนย้ายแรงงานระยะสั้น โดยเฉพาะแรงงานฝีมือและผู้ให้บริการในสาขาวิชาชีพ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความขัดแย้งในหลายภูมิภาค รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีกำลังพลิกโฉมรูปแบบการผลิตและการค้า แม้จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจแต่หากปราศจากนโยบายการเงินและการคลังที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะในประเทศเกิดใหม่ ก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงในระยะยาวได้ 

ท่ามกลางความเปราะบางเหล่านี้ ความร่วมมือระดับพหุภาคีและการใช้อำนาจต่อรองร่วมในเวทีระหว่างประเทศ จะเป็นกลไกสำคัญในการปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของภูมิภาคอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันแต่ละประเทศจำเป็นต้องมีความเป็นเจ้าของต่อแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของตนเอง โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบจากภายนอก หากแนวนโยบายไม่สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐาน ความเชื่อ หรือบริบททางสังคมของประเทศ ก็ไม่อาจสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

UNCTAD มองระบบเศรษฐกิจโลกเปราะบาง

นาย Cameron Daneshvar Economic Affairs Officer, Division on Globalization and Development Strategies, UN Trade and Development (UNCTAD) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกเมื่อกว่า 15 ปีก่อน โดยปี 2567-2568 เศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตเพียง 2.7% ต่อปี ต่ำกว่าการเติบโตเฉลี่ยก่อนโควิด-19 

การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซาต่อเนื่องจนกลายเป็นภาวะปกติใหม่ (new low-growth normal) เป็นความท้าทายสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ที่แม้ว่าในปี 2566-2568 เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศดังกล่าวจะยังคงเติบโตเล็กน้อย แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนา 

นอกจากนี้ยังเผชิญกับแรงกดดันจากภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญหลังโควิด-19 ทำให้รัฐบาลของประเทศเหล่านี้ต้องจัดสรรงบประมาณสำหรับชำระหนี้และดอกเบี้ยมากขึ้นแทนการพัฒนาด้านต่าง ๆ รวมถึงต้องดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดเพื่อควบคุมหนี้สาธารณะ ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว 

แนะรัฐเพิ่มรายได้-วางนโยบายการเงินใหม่

ทั้งนี้เพื่อรับมือกับความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจโลก UNCTAD จึงเสนอให้ประเทศกำลังพัฒนามีการเพิ่มรายได้รัฐผ่านการจัดการการเลี่ยงภาษีของบริษัทข้ามชาติ และสร้างกลไกพหุภาคีเพื่อสนับสนุนการเจรจานโยบายการเงินระหว่างประเทศ 

นอกจากนี้ควรมีการจัดหาเงินทุนระยะยาว ผ่าน SDRs และเครื่องมือทางการเงินใหม่ พร้อมขยายข้อตกลงแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สำหรับนโยบายควบคุมเงินเฟ้อ ควรมุ่งลดการการผูกขาดและปรับปรุงกรอบกำกับดูแลการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ขณะที่การวางนโยบายการเงิน นอกจากกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อหรือเสถียรภาพของค่าเงิน ควรพิจารณาถึงผลกระทบในวงกว้างอย่างแนวโน้มหนี้สาธารณะ ความยั่งยืนของระบบการเงิน และช่องว่างในการจัดสรรเงินทุนร่วมด้วย ตลอดจนการออกนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย ควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างธรรมาภิบาลและกรอบกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

UNCTAD-ITD ส่งสัญญาณแรง ความซบเซาทางเศรษฐกิจคุกคามประเทศกำลังพัฒนา

 

เสนอ 3 ยุทธศาสตร์หลักรับมือความเสี่ยง

ดร. Nicolas Maystre Senior Economic Affairs Officer, Division on Globalization and Development Strategies, UN Trade and Development (UNCTAD) กล่าวว่า แม้สถานการณ์การค้าสินค้าในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะขยายตัวสูงสุดในรอบ 2 ปี แต่อาจไม่สะท้อนการฟื้นตัวทางโครงสร้าง โดยตัวเลขการเติบโตมาจากการกักตุนและสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ 

ประกอบกับคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกใหม่ (PMIs) ของประเทศผู้ส่งออกหลักได้ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับสมดุล 50% และดัชนีค่าระวางเรือที่ลดลงกว่า 40% ในไตรมาสแรกของปี 2568 สะท้อนถึงการฟื้นตัวของการค้าแบบชั่วคราว 

ขณะที่การค้าภาคบริการ แม้มีแนวโน้มเติบโต 9.1% ในภาพรวม รวมถึงบริการเทคโนโลยีและดิจิทัล แต่บริการประเภทนี้ยังไม่สามารถสร้างตำแหน่งงานให้ประเทศกำลังพัฒนาได้ เพราะอาศัยทักษะขั้นสูงและระบบอัตโนมัติเป็นหลัก ในทางกลับกัน บริการที่พึ่งแรงงานทักษะต่ำอย่างการท่องเที่ยวหรือก่อผลิต แม้มีบทบาททางเศรษฐกิจ แต่ยังไม่สามารถยกระดับผลิตภาพหรือเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับลึกได้ 

ประเทศกำลังพัฒนาจึงควรขยายกรอบการพัฒนาให้กว้างกว่าการพึ่งพาการส่งออกจากภาคการผลิตและบริการ เพื่อผลักดันการเติบโตของประสิทธิภาพการผลิตสินค้าหรือบริการทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ UNCTAD ได้เสนอ 3 แกนยุทธศาสตร์หลัก สำหรับภาคบริการในประเทศกำลังพัฒนา ได้แก่ 

1.การสนับสนุนให้บริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจด้านงานบริการจ้างแรงงานทักษะต่ำเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับแรงงาน 

2.การจัดสรรปัจจัยจากภาครัฐและเพิ่มช่องทางการเข้าถึงการลงทุน เพื่อยกระดับผลิตภาพให้แก่ผู้ประกอบกลางขนาดเล็กและกลาง (SMEs) 

3.การลงทุนเพื่อยกระดับทักษะแรงงานให้พร้อมรับเทคโนโลยีดิจิทัลพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของแรงงาน เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นอย่างทั่วถึงและยั่งยืนอีกด้วย

โดยมุมมองของ UNCTAD  มีความเห็นว่า การรายงานข้อมูลและข้อเสนอแนะจากรายงานฉบับนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศกำลังพัฒนาจะสามารถใช้เป็นแนวทางในการกำหนดยุทธศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนและความผันผวนสูงในปัจจุบัน

 

UNCTAD-ITD ส่งสัญญาณแรง ความซบเซาทางเศรษฐกิจคุกคามประเทศกำลังพัฒนา

 

แนะดันบริการสมัยใหม่-ยกระดับทักษะแรงงาน

นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย เผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์โลก อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีความเข้มแข็งด้านการค้าภายในภูมิภาคและมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของห่วงโซ่อุปทานโลก 

โดยประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่สามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างโดดเด่นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีทั้งโอกาสและความท้าทายในการเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ 

ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมภาคบริการสมัยใหม่ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงและเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักควบคู่กับภาคการผลิต พร้อมยกระดับทักษะแรงงานให้สอดรับกับเศรษฐกิจใหม่ที่เน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว รวมทั้งเพื่อรองรับ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน