สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD ร่วมกับองค์การการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNCTAD) และ Harvard Club of Thailand จัดงาน “The International Seminar on Trade and Development Report 2024: Rethinking Development in the Age of Discontent” นำเสนอรายงานการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำปี 2567 (UNCTAD Trade and Development Report 2024)
โดยสะท้อนแนวโน้มของโลกที่กำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ความเปราะบางทางการเงิน และความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูประบบการค้าและการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน เพื่อสำรวจความท้าทายทางเศรษฐกิจระดับโลก และร่วมขับเคลื่อนนโยบายการค้าและการพัฒนาของประเทศไทย
ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการ UNCTAD ปาฐกถาพิเศษ โดยระบุว่า แม้ในปี 2567 โลกจะเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงก่อนหน้า แต่ยังคงต้องเผชิญกับจุดเปลี่ยนเชิงนโยบายที่กำลังกำหนดทิศทางใหม่ของระบบการค้าโลก ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มที่หลายประเทศหันมาใช้นโยบายกีดกันทางการค้ามากขึ้น
รวมถึงข้อจำกัดที่เพิ่มขึ้นในการเคลื่อนย้ายแรงงานระยะสั้น โดยเฉพาะแรงงานฝีมือและผู้ให้บริการในสาขาวิชาชีพ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความขัดแย้งในหลายภูมิภาค รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีกำลังพลิกโฉมรูปแบบการผลิตและการค้า แม้จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจแต่หากปราศจากนโยบายการเงินและการคลังที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะในประเทศเกิดใหม่ ก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงในระยะยาวได้
ท่ามกลางความเปราะบางเหล่านี้ ความร่วมมือระดับพหุภาคีและการใช้อำนาจต่อรองร่วมในเวทีระหว่างประเทศ จะเป็นกลไกสำคัญในการปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของภูมิภาคอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันแต่ละประเทศจำเป็นต้องมีความเป็นเจ้าของต่อแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของตนเอง โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบจากภายนอก หากแนวนโยบายไม่สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐาน ความเชื่อ หรือบริบททางสังคมของประเทศ ก็ไม่อาจสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
นาย Cameron Daneshvar Economic Affairs Officer, Division on Globalization and Development Strategies, UN Trade and Development (UNCTAD) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกเมื่อกว่า 15 ปีก่อน โดยปี 2567-2568 เศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตเพียง 2.7% ต่อปี ต่ำกว่าการเติบโตเฉลี่ยก่อนโควิด-19
การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซาต่อเนื่องจนกลายเป็นภาวะปกติใหม่ (new low-growth normal) เป็นความท้าทายสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ที่แม้ว่าในปี 2566-2568 เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศดังกล่าวจะยังคงเติบโตเล็กน้อย แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนา
นอกจากนี้ยังเผชิญกับแรงกดดันจากภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญหลังโควิด-19 ทำให้รัฐบาลของประเทศเหล่านี้ต้องจัดสรรงบประมาณสำหรับชำระหนี้และดอกเบี้ยมากขึ้นแทนการพัฒนาด้านต่าง ๆ รวมถึงต้องดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดเพื่อควบคุมหนี้สาธารณะ ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว
ทั้งนี้เพื่อรับมือกับความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจโลก UNCTAD จึงเสนอให้ประเทศกำลังพัฒนามีการเพิ่มรายได้รัฐผ่านการจัดการการเลี่ยงภาษีของบริษัทข้ามชาติ และสร้างกลไกพหุภาคีเพื่อสนับสนุนการเจรจานโยบายการเงินระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ควรมีการจัดหาเงินทุนระยะยาว ผ่าน SDRs และเครื่องมือทางการเงินใหม่ พร้อมขยายข้อตกลงแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สำหรับนโยบายควบคุมเงินเฟ้อ ควรมุ่งลดการการผูกขาดและปรับปรุงกรอบกำกับดูแลการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะที่การวางนโยบายการเงิน นอกจากกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อหรือเสถียรภาพของค่าเงิน ควรพิจารณาถึงผลกระทบในวงกว้างอย่างแนวโน้มหนี้สาธารณะ ความยั่งยืนของระบบการเงิน และช่องว่างในการจัดสรรเงินทุนร่วมด้วย ตลอดจนการออกนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย ควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างธรรมาภิบาลและกรอบกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ดร. Nicolas Maystre Senior Economic Affairs Officer, Division on Globalization and Development Strategies, UN Trade and Development (UNCTAD) กล่าวว่า แม้สถานการณ์การค้าสินค้าในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะขยายตัวสูงสุดในรอบ 2 ปี แต่อาจไม่สะท้อนการฟื้นตัวทางโครงสร้าง โดยตัวเลขการเติบโตมาจากการกักตุนและสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้
ประกอบกับคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกใหม่ (PMIs) ของประเทศผู้ส่งออกหลักได้ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับสมดุล 50% และดัชนีค่าระวางเรือที่ลดลงกว่า 40% ในไตรมาสแรกของปี 2568 สะท้อนถึงการฟื้นตัวของการค้าแบบชั่วคราว
ขณะที่การค้าภาคบริการ แม้มีแนวโน้มเติบโต 9.1% ในภาพรวม รวมถึงบริการเทคโนโลยีและดิจิทัล แต่บริการประเภทนี้ยังไม่สามารถสร้างตำแหน่งงานให้ประเทศกำลังพัฒนาได้ เพราะอาศัยทักษะขั้นสูงและระบบอัตโนมัติเป็นหลัก ในทางกลับกัน บริการที่พึ่งแรงงานทักษะต่ำอย่างการท่องเที่ยวหรือก่อผลิต แม้มีบทบาททางเศรษฐกิจ แต่ยังไม่สามารถยกระดับผลิตภาพหรือเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับลึกได้
ประเทศกำลังพัฒนาจึงควรขยายกรอบการพัฒนาให้กว้างกว่าการพึ่งพาการส่งออกจากภาคการผลิตและบริการ เพื่อผลักดันการเติบโตของประสิทธิภาพการผลิตสินค้าหรือบริการทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ UNCTAD ได้เสนอ 3 แกนยุทธศาสตร์หลัก สำหรับภาคบริการในประเทศกำลังพัฒนา ได้แก่
1.การสนับสนุนให้บริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจด้านงานบริการจ้างแรงงานทักษะต่ำเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับแรงงาน
2.การจัดสรรปัจจัยจากภาครัฐและเพิ่มช่องทางการเข้าถึงการลงทุน เพื่อยกระดับผลิตภาพให้แก่ผู้ประกอบกลางขนาดเล็กและกลาง (SMEs)
3.การลงทุนเพื่อยกระดับทักษะแรงงานให้พร้อมรับเทคโนโลยีดิจิทัลพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของแรงงาน เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นอย่างทั่วถึงและยั่งยืนอีกด้วย
โดยมุมมองของ UNCTAD มีความเห็นว่า การรายงานข้อมูลและข้อเสนอแนะจากรายงานฉบับนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศกำลังพัฒนาจะสามารถใช้เป็นแนวทางในการกำหนดยุทธศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนและความผันผวนสูงในปัจจุบัน
นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย เผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์โลก อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีความเข้มแข็งด้านการค้าภายในภูมิภาคและมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของห่วงโซ่อุปทานโลก
โดยประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่สามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างโดดเด่นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีทั้งโอกาสและความท้าทายในการเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมภาคบริการสมัยใหม่ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงและเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักควบคู่กับภาคการผลิต พร้อมยกระดับทักษะแรงงานให้สอดรับกับเศรษฐกิจใหม่ที่เน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว รวมทั้งเพื่อรองรับ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน