Moody’s หั่นเครดิตไทยเชิงลบ ในรอบ 17 ปี ยันไม่สะเทือนตลาดการเงิน

30 เม.ย. 2568 | 08:41 น.
อัปเดตล่าสุด :30 เม.ย. 2568 | 08:49 น.

สบน.เผย Moody’s หั่นเครดิตไทยเชิงลบ ในรอบ 17 ปี จากความผันผวนนโยบายสหรัฐฯ ยันไม่กระทบตลาดเงิน-ตลาดทุน พร้อมเกาะติด 2 สถาบันเครดิต ประเมินเรทติ้งไทยปลายปีนี้

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 Moody’s ได้รายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยได้คงอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ Baa1 และปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ Negative Outlook ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2551 หรือในรอบ 17 ปี

“ที่ผ่านมา Moody’s ได้มีการปรับขึ้น และลดมุมมองความน่าเชื่อถือไทย โดยช่วงปี 2551 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ได้ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือ Negative จากนั้น 2 ปี ได้ปรับขึ้นเป็น Stable ต่อมาในปี 2562 ได้ปรับเป็น Positive และในช่วงโควิดที่ผ่านมา ได้ปรับลดลงมาเป็น Stable ซึ่งทุกครั้งที่มีการปรับอันดับความน่าเชื่อถือจะมีเหตุการณ์เข้ามา”

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก จากนโยบายภาษีสหรัฐอเมริกา แนวโน้มประเทศอื่นๆ ก็ได้รับการปรับมุมมองความน่าเชื่อถือทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ประเทศอิสราเอล จอร์เจีย และกัมพูชา ก็ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงเช่นเดียวกัน ขณะที่ประเทศจีน และเบลเยียม ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือก่อนนโยบายภาษีสหรัฐฯ ประกาศออกมาด้วย

นายพชร กล่าวว่า การปรับปรับมุมมองดังกล่าว ไม่ได้มีผลกระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุน โดยวันนี้ (30 เม.ย.68) นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อตลาดหุ้นเป็นบวก สำหรับภาคการเงินนั้น สบน.ได้มีการประมูลปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตร 50 ปี วงเงิน 7,000 ล้านบาท สบน.ก็ได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าตลาด 0.14% และมีผู้ประมูลสูงถึง 2.18 เท่า ซึ่งการปรับมุมมองดังกล่าว ไม่ได้มีผลต่อต้นทุนการระดมทุนของรัฐบาล ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนก็ไม่มีผลกระทบ ซึ่งเราก็ติดตามอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปียังเหลือ 2 สถาบันเครดิต ได้แก่ Fitch Ratings และ S&P Global Ratings ที่จะออกรายงานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ฉะนั้น ช่วงเวลาหลังจากนี้ก็หวังว่าจะมีอะไรที่ออกมาดีขึ้น เราพร้อมเตรียมการรองรับต่อไป เนื่องจากเรื่องนโยบายภาษีสหรัฐฯ เป็นปัจจัยภายนอก แต่เรื่องปัจจัยภายในเชิงโครงสร้าง เช่น การปฏิรูประบบภาษี และอื่นๆ ก็เป็นสิ่งที่ไทยควรแสดงให้เห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งจะสามารถรองรับความผันผวนได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง

นอกจากนี้ สบน. ได้มีการประเมินว่า หากจีดีพีปีนี้ ได้ปรับลดมาที่ 2% หนี้สาธารณะจะแตะเพดาน 70% ในปี 2570 และหากจีดีพีลงมาถึงระดับ 1.5% หนี้สาธารณะจะเกิน 70% ในปี 2570 ซึ่งเรียนว่า หากสถานการณ์อยู่ในบริบทดังกล่าว การบริหารจัดการหนี้ธารณะจะไม่มีปัญหา และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณการขยายเพดานหนี้สาธารณะ

ขณะที่ภาคการลงทุนนั้น ในปี 67 มีคำขอรับการลงทุนจาก BOI กว่า 1.13 ล้านล้านบาท เป็นยอดสูงสุดในรอบ 10 ปี และอยู่ระหว่างขั้นตอนออกใบอนุญาตการลงทุน ส่วนการท่องเที่ยวนั้น คาดว่าปีนี้นักท่องเที่ยวจะเข้ามากว่า 38-39 ล้านคน แม้มีสถานการณ์แผ่นดินไหว ก็คาดว่าจำนวนรวมนักท่องเที่ยวจะลดลงไม่ถึงตัวเลขปีที่แล้ว ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 35 ล้านคน

สำหรับการปรับมุมมองของ Moody’s มีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยความเสี่ยงภายนอก (External Risks) โดยเฉพาะความไม่แน่นอน (Uncertainty) ที่เกิดขึ้นจากนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในระดับโลก (Global) และภูมิภาค (Regional) รวมถึงส่งผลกระทบทางอ้อมมายังเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ารวมถึงประเทศไทย

ทั้งนี้ เป็นปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาลไทย แม้จะยังไม่สามารถประเมินระยะเวลาและความรุนแรงได้อย่างชัดเจน แต่ความไม่แน่นอนดังกล่าวส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีการปรับลดอัตราการเจริญเติบโตในปี 2568 จาก 3.3% เป็น 2.8%

“สบน. ในนามกระทรวงการคลัง ย้ำว่ารัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคอย่างรอบคอบ มีการเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มีแผนการปฏิรูปโครงสร้างรายได้ภาครัฐ และแผนเข้าสู่สมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ระยะปานกลาง กำลังถูกเร่งดำเนินการ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานความแข็งแกร่งทั้งจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูง ภาคการส่งออกที่หลากหลาย และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”