แผ่นดินไหวฉุดดัชนีเชื่อมั่นอุตฯร่วง ดึงการท่องเที่ยวชะลอ

22 เม.ย. 2568 | 05:36 น.
อัปเดตล่าสุด :22 เม.ย. 2568 | 05:36 น.

ส.อ.ท.เผย แผ่นดินไหวฉุดดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือนมีนาคมร่วงเหลือ 91.8 จาก 93.4 ในเดือนกุมภาพันธ์ หลังการท่องเที่ยวสะดุดทำเศรษฐกิจในประเทศชะลอ

นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค. 68 ว่า อยู่ที่ระดับ 91.8 ปรับตัวลดลง จาก 93.4 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นผลจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและอาฟเตอร์ช็อก (Aftershock) กระทบต่อความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ 

ทั้งนี้ การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม ในอัตรา 25% (เริ่ม 12 มีนาคม 2568) อาจส่งผลให้การส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักชะลอตัวลง โดยในปี 2567 ไทยมีการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียม คิดเป็น 18.16% และ 13.29% ของการส่งออกทั้งหมด 

ภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากนักท่องเที่ยวในกลุ่มตลาดหลักที่ลดลงโดยในเดือนก.พ. 68 เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวจีน (-44.92% YoY) และมาเลเซีย (-16.57% YoY) ลดลงจากความกังวลด้านความปลอดภัย และการเข้าสู่ช่วงถือศีลอด 

ด้านยอดส่งออกรถยนต์ลดลง จากการชะลอคำสั่งซื้อของประเทศคู่ค้าเพื่อรอความชัดเจนในนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เม.ย. 68 โดยในเดือนก.พ. 68 ยอดการส่งออกลดลง 8.34% (YoY) กระทบอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ รวมไปถึงกำลังซื้อในภูมิภาคยังคงเปราะบาง จากแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวลดลงโดยเฉพาะข้าว อ้อยและมันสำปะหลังส่งผลต่อการใช้จ่ายในภูมิภาค

แผ่นดินไหวฉุดดัชนีเชื่อมั่นอุตฯร่วง ดึงการท่องเที่ยวชะลอ

อย่างไรก็ตาม ในเดือนมี.ค. ยังคงมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น การผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (เกณฑ์ LTV) ส่งผลดีต่อคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง 

คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อลดภาระค่าพลังงานลง 50 สตางค์/ลิตร ในกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล โดยมีการปรับลดราคาในสองช่วง ได้แก่ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 และครั้งที่ 2 ในวันที่ 4 เมษายน 2568 และการจัดงานมอเตอร์โชว์ (26 มี.ค. - 6 เม.ย. 68) ที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในประเทศได้

จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,357 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของส.อ.ท. ในเดือนมี.ค. 68 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ 57.3% เศรษฐกิจโลก 53.4% และสถานการณ์การเมืองในประเทศ 43.6% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน 31.9% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 30.5% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 18.3%

ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 95.7 ลดลงจาก 97.6 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เนื่องจากผู้ประกอบยังคงห่วงกังวลในเรื่อง มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ของสหรัฐฯ เริ่มวันที่ 2 เม.ย. 68 กระทบอุตสาหกรรมการส่งออกยานยนต์ รวมถึงชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ของไทย อีกทั้ง มาตรการตอบโต้ทางภาษี (Reciprocal Tariff) กับทุกประเทศที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ คาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 2 เม.ย. 68 ที่กระทบภาคการส่งออกของไทย

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และมีส่วนช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ (เริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 68) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น มาตรการเที่ยวคนละครึ่งและโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาทเฟส 3 คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการบริโภคและการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2/68

แผ่นดินไหวฉุดดัชนีเชื่อมั่นอุตฯร่วง ดึงการท่องเที่ยวชะลอ

สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ  ประกอบด้วย

  • เสนอให้ภาครัฐบูรณาการความร่วมมือในการจัดทำแผนรับมือเหตุแผ่นดินไหวและมีระบบการตรวจสอบความปลอดภัยในการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งเร่งเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ลดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
  • เสนอให้ภาครัฐเร่งเปิดตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพรองรับสินค้าไทยเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าเช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา เป็นต้น รวมทั้งเร่งเจราจาความร่วมมือ FTA Thai-EU เพื่อสร้างโอกาสในการส่งออก
  • เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมในประเทศไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve และ New S-Curve) เช่น มาตรการทางภาษี เงินอุดหนุนในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ การ Upskill และ Reskill แรงงาน รวมทั้งการปรับลดค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น