“พิชัย” เร่งรื้อระบบสวมสิทธิ์ส่งออกสินค้าไทย หวั่นภาษีสหรัฐฯ

11 เม.ย. 2568 | 14:33 น.
อัปเดตล่าสุด :11 เม.ย. 2568 | 14:49 น.

“พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และรมว.คลัง พร้อมถกสหรัฐฯ ภายในเม.ย.นี้ เร่งรื้อระบบสวมสิทธิ์ส่งออกสินค้าไทย สั่งบีโอไอปรับกลยุทธ์ดึงการลงทุนใหม่ ยึด 5 แนวทาง win-win

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุม แนวทางการดำเนินการของไทยต่อกรณีนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ว่า แนวทางการหารือกับสหรัฐ เน้นการสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน (win-win solution) และแก้ไขปัญหาทางการขาดดุลการค้ากับสหรัฐ โดยรัฐบาลพร้อมทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการหาแนวทางร่วมกัน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

"โดยภายในเดือน เม.ย.นี้ ตนพร้อมทีมเจรจาจะมีกำหนดการเดินทางไปสหรัฐ และรอจังหวะโอกาสที่จะได้เข้าพบบุคคลสำคัญที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อพูดคุยถึงหลักการและข้อเสนอตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้สื่อสารกับทางสหรัฐแล้วว่า ไทยยินดีเป็นหุ้นส่วนและพันธมิตรทางเศรษฐกิจกับสหรัฐ โดยเน้นผลประโยชน์ร่วมกัน แล้วหลังจากนั้นจะเป็นทีมปฏิบัติการที่หารือกับผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ในรายละเอียดต่อไป"

ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่เป็นข้อกังวลจากสหรัฐ ในเรื่องการสวมสิทธิ์ส่งออกสินค้าจากไทย เป็นมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่อัตราภาษี โดยรัฐบาลมีหลายเรื่องที่จะจัดทำเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่ส่งออกจากประเทศไทย เป็นสินค้าที่ผลิตในไทยตามเงื่อนไขและลักษณะที่เป็นสากล อีกทั้ง รัฐบาลจะเข้าไปดูมาตรฐานของสินค้าด้วย

“เราได้มีการหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมว่าจะเข้าไปดูเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียด ยอมรับว่าที่ผ่านมา เราอาจจะไม่ได้เข้มงวดมากนัก ซึ่งครั้งนี้เราเข้าไปดูรายละเอียดและปรับปรุงเพื่อทำให้สหรัฐเกิดความมั่นใจว่าสินค้าที่ส่งออกไปมีมาตรฐานและไม่กังวลเรื่องการสวมใส่สิทธิ์”

ขณะเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะต้องมีการปรับยุทธศาสตร์การให้สิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดการลงทุนใหม่ ตามสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงจากโลกาภิวัตน์เป็นโลกแบ่งขั้ว และการกีดกันทางการค้า ซึ่งทำให้เกิดการย้ายฐานผลิต

สำหรับแนวทางการเจรจาจะยังคงเดินหน้า 5 แนวทาง ได้แก่

1.การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดสมดุลการค้าระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบเพื่อการแปรรูปและส่งออกอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในตลาดโลกจาก 3% เป็น 6% ภายใน 5-7 ปี หรือขยายตัวราว 12% ต่อปี

ทั้งนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐ เพื่อใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ โดยจะจัดสรรการนำเข้าอย่างเป็นธรรมและไม่กระทบต่อเกษตรกรในประเทศ

นอกจากนี้ รัฐบาลพิจารณานำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐเพิ่มเติม เนื่องจากประเทศไทยมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในปริมาณมาก แต่ผลิตได้เองไม่เพียงพอ ซึ่งจะต้องมีต้นทุนที่แข่งขันได้ โดยอาจพิจารณาร่วมทุนในแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติในสหรัฐ เพื่อให้ได้ราคาที่เป็นธรรมและลดต้นทุนการขนส่ง

2.ลดหรือยกเว้นภาษีให้สินค้าสหรัฐ ให้เท่าเทียมกับที่นำเข้าจากประเทศอื่นๆ 

3.การป้องกันการสวมสิทธิ์ของสินค้าที่นำเข้ามาและใช้ไทยเป็นทางผ่าน เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยจะต้องมีความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้า และการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า 

4.การแก้อุปสรรคต่อการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้มีความรวดเร็วและเป็นธรรม

5.การพิจารณาลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐโดยเอกชนที่มีศักยภาพ เช่น การลงทุนแหล่งก๊าซธรรมชาติ