ในขณะที่ร่าง พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือที่รู้จักกันในชื่อ "เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" กำลังเป็นประเด็นถกเถียงอย่างกว้างขวางในสังคมไทยและกำลังจะมีการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร
“ดร.ณรงค์ชัย ใหญ่สว่าง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และม.กรุงเทพ อินเตอร์ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “ฐานเศรษฐกิจ” เกี่ยวกับโครงการนี้ จากการศึกษาต้นแบบในต่างประเทศและผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น
ดร.ณรงค์ชัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันกว่า 75% ของประเทศทั่วโลกมีการเปิดให้ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย โดยแบ่งเป็น 55% ที่อนุญาตโดยไม่มีข้อจำกัดพื้นที่ และอีก 20% ที่จำกัดให้เปิดได้เฉพาะบางพื้นที่ ขณะที่มีเพียง 25% ของประเทศทั่วโลกเท่านั้นที่ยังคงกำหนดให้ธุรกิจนี้ผิดกฎหมาย ซึ่งรวมถึงประเทศไทย
"เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ไม่ได้หมายถึงแค่กาสิโนเท่านั้น แต่ประกอบด้วยธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร บาร์ ศูนย์ประชุม ศูนย์สุขภาพ สนามกีฬา สถานที่จำหน่ายสินค้า OTOP สวนสนุก สระว่ายน้ำ สวนน้ำ สถานที่แสดงโชว์ และลานกิจกรรมอื่นๆ โดยคาสิโนจะมีพื้นที่ไม่เกิน 10% ของพื้นที่ทั้งหมด" ดร.ณรงค์ชัย อธิบาย
จากการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ดร.ณรงค์ชัย ประเมินว่า เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยประมาณ 1-2 ล้านล้านบาทต่อปีต่อแห่ง และหากรัฐบาลเก็บภาษีในอัตรา 20% จะมีรายได้เข้ารัฐประมาณ 200,000-400,000 ล้านบาทต่อปี
"ถ้ามองในแง่ของการเติบโต จากการศึกษาพบว่าในช่วง 5 ปีแรก เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์จะเติบโตประมาณ 20% ต่อปี นั่นหมายความว่าจาก 1 ล้านล้านบาท จะเพิ่มเป็น 2 ล้านล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี และเพิ่มเป็น 3 ล้านล้านบาทหลังจากนั้นอีก 5 ปี" ดร.ณรงค์ชัย กล่าว
นอกจากนี้ ดร.ณรงค์ชัยยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการนำรายได้ส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในสังคม
"หากรัฐนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการเก็บภาษีไปช่วยกลุ่มเปราะบางที่มีอยู่ประมาณ 15 ล้านคนในประเทศไทย อาจจะช่วยได้ขั้นต่ำประมาณ 3,000-10,000 บาทต่อคนต่อปี และตัวเลขนี้อาจเพิ่มเป็น 20,000-30,000 บาทต่อปีภายในระยะเวลา 5-10 ปี ซึ่งจะช่วยให้หลายครอบครัวหลุดพ้นจากความยากจนได้"
ประเด็นสำคัญที่ ดร.ณรงค์ชัย กล่าวถึงคือปัญหาธุรกิจพนันผิดกฎหมายที่มีอยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่าหมุนเวียนสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาทต่อปี โดยกว่า 700,000 ล้านบาทเป็นเงินที่ไหลออกนอกประเทศ
"ธุรกิจพนันผิดกฎหมายในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับเกือบ 5% ของ GDP หรือประมาณ 1/3 ของงบประมาณรัฐบาล" ดร.ณรงค์ชัย ระบุ "และในจำนวนนี้ มีเงินประมาณ 700,000 ล้านบาทที่ไหลออกนอกประเทศทุกปี ผ่านการพนันออนไลน์และการฟอกเงินในรูปแบบต่างๆ"
"ถ้าเรามีเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่ถูกกฎหมาย เงินเหล่านี้จะหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจไทย แทนที่จะไหลออกไปต่างประเทศ" ดร.ณรงค์ชัย เสริม
ในแง่ของการควบคุมและกำกับดูแล ดร.ณรงค์ชัย เน้นย้ำว่าการมีกฎหมายรองรับจะช่วยให้การควบคุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของอัตรากำไรที่กาสิโนจะได้รับ
"ในบ่อนผิดกฎหมาย ผู้เล่นจะเสียเงินโดยเฉลี่ยประมาณ 16.5% ของเงินที่เล่น แต่ในคาสิโนที่ถูกกฎหมายและมีการควบคุม อัตรานี้จะลดลงเหลือประมาณ 5-10% ซึ่งจะทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มจาก 6 เท่าเป็น 10-20 เท่าของเงินที่ลงทุน" ดร.ณรงค์ชัย อธิบาย
นอกจากนี้ การมีระบบควบคุมที่ดียังช่วยลดปัญหาการติดการพนัน "เมื่อถูกกฎหมาย เราสามารถตรวจสอบพฤติกรรมของผู้เล่น การกู้ยืมเงิน และสามารถป้องกันปัญหาครอบครัวหรืออาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงการจำกัดจำนวนครั้งที่ผู้เล่นสามารถเข้าใช้บริการในแต่ละสัปดาห์"
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการนี้เผชิญกับแรงต้านจากหลายฝ่าย ดร.ณรงค์ชัย ได้วิเคราะห์กลุ่มผู้ต่อต้านออกเป็น 5 กลุ่มหลัก
1. กลุ่มธุรกิจจากต่างประเทศที่เสียผลประโยชน์ ประเทศเพื่อนบ้านที่มีธุรกิจกาสิโนอยู่แล้ว อาจกลัวว่าจะสูญเสียนักท่องเที่ยวและรายได้ให้กับประเทศไทย จึงอาจสนับสนุนเงินให้กลุ่มผู้ต่อต้านในไทย
2. กลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศ ผู้ที่เปิดบ่อนผิดกฎหมายหรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจการพนันใต้ดิน กลัวว่าจะสูญเสียรายได้มหาศาลหากมีคาสิโนถูกกฎหมายเกิดขึ้น
3. กลุ่มการเมืองที่ต้องการล้มรัฐบาล บางกลุ่มต่อต้านทุกนโยบายของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายคือการล้มรัฐบาลชุดปัจจุบัน
4. กลุ่มข้าราชการบางส่วนที่มีผลประโยชน์จากธุรกิจผิดกฎหมาย ข้าราชการบางกลุ่มที่รับเงินจากการปล่อยปละละเลยให้บ่อนผิดกฎหมายดำเนินการ อาจสูญเสียรายได้เหล่านี้หากธุรกิจเข้าสู่ระบบที่ถูกกฎหมาย
5. กลุ่มรณรงค์แก้ปัญหาการติดการพนัน แม้จะมีเจตนาดี แต่อาจไม่เข้าใจว่าการทำให้ถูกกฎหมายจะช่วยควบคุมและแก้ปัญหาการติดการพนันได้ดีกว่า
ดร.ณรงค์ชัย ย้ำถึงความจำเป็นของโครงการนี้ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำและความท้าทายจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ
"GDP ของไทยปัจจุบันโตเพียง 2.5% ซึ่งรั้งท้ายในกลุ่มอาเซียน เมื่อเผชิญกับการเพิ่มภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ 37% นักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการลงทุน ประเทศเราจำเป็นต้องมีแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ และเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยได้" ดร.ณรงค์ชัย กล่าว
ดร.ณรงค์ชัย มองว่าเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ และแก้ปัญหาธุรกิจใต้ดิน โดยหากมีการบริหารจัดการและควบคุมที่ดี จะสามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล รวมถึงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง