จีนกว้านซื้อที่ดิน ลงทุนอสังหาฯ ผลกระทบใหญ่ที่ไม่ควรนิ่งเฉย

28 ก.พ. 2568 | 02:37 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.พ. 2568 | 10:08 น.

นักธุรกิจอสังหาฯ เผยคนจีนหลั่งไหลเข้ามาซื้อที่ดิน ลงทุนสร้างโรงงาน บ้าน คอนโดมิเนียม กังวลปัญหาโรงงานจีนเถื่อน วอนรัฐบาลเตรียมมาตรการรับมือ แนะเก็บภาษีต่างชาติ เตือนผู้ประกอบการไทยรายกลางและรายเล็กต้องเร่งปรับตัว เหตุนักลงทุนจีนมีได้เปรียบเรื่องต้นทุน

นายเปรมสรณ์ ศรีวิบูลย์ชัย ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์จังหวัดระยอง เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในพื้นที่จังหวัดระยอง เริ่มมีคนจีนไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก และเข้ากว้านซื้อที่ดิน โดยเฉพาะโซนนิคมพัฒนา และอ.ปลวกแดง ซึ่งมีปริมาณการซื้อประมาณ 1,000 ไร่

ทั้งนี้คาดว่า การเข้ามากว้านซื้อที่ดินครั้งนี้ นักลงทุนอาจนำไปเปิดเป็นนิคมอุตสาหกรรม ตั้งโรงงาน รวมถึงก่อสร้างบ้านและดอนโดมิเนียม จากเดิมที่ดินโซนดังกล่าวราคาไร่ละ 150 บาท แต่ปัจจุบันราคาพุ่งขึ้นไปประมาณไร่ละ 350 ล้านบาทแล้ว

"การที่จีนเข้ามาลงทุนธุรกิจอสังหาฯ ผู้ประกอบการไทย ตอนนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่ถ้าหากในอนาคตก็อาจส่งผลกระทบได้"

อย่างไรก็ตาม การที่จีนเข้ามาลงทุนหรือซื้ออสังหาฯในประเทศไทย ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะถ้าหากสกัดก็ค่อนข้างยาก เพราะปัจจุบันในพื้นที่เมืองพัทยา จะเห็นมากว่ามีการซื้ออสังหาฯ ผ่านนายหน้าโดยเปิดบริษัทเป็นนอมินี

นายเปรมสรณ์ กล่าวว่า ในแนวทางการแก้ปัญหาภาคเอกชนอยากให้มีการเปิดแบบถูกต้องตามกฎหมายไปเลยจะดีกว่า และจัดเก็บภาษีเข้าประเทศ หากกังวลเรื่องขายชาติ ต้องมีกฎหมายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม และหากมีการเปลี่ยนมือนักลงทุน จากจีนต้องเปลี่ยนมือให้กับคนไทยเท่านั้น

"การเก็บภาษีจากต่างชาติ หลายประเทศก็ทำ เช่น ออสเตรเลีย ต่างชาติต้องจ่ายภาษีให้รัฐบาล 17% ซึ่งจะทำภาครัฐมีเงินเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมาได้เสนอเคยเสนอภาครัฐไปแล้ว เกือบจะผ่านครม. แต่ว่าล้มไปก่อน เพราะว่าเหมือนกังวลกันเรื่องขายชาติ แต่เรามองว่าหากเขาอยากเข้ามาอยู่ก็ให้อยู่แบบถูกกฎหมาย" นายเปรมสรณ์ กล่าว

ด้าน นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า กระแสทุนจีนไหลเข้าไทย นอกจากใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกเพื่อหนีกำแพงภาษีแล้ว กลุ่มทุนดังกล่าวไม่พลาดที่จะเข้ามาซื้อที่ดินพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์

ทั้งนี้ผู้ประกอบการและรัฐบาลไทยต้องมีมาตรการรับมือที่รัดกุมที่เห็นชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มโรงงานเถื่อนเริ่มมีมากขึ้น ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งตรวจสอบ และสั่งปิดไปหลายแห่ง รวมถึงโรงงานที่เข้ามาทำการค้าแข่งโดยใช้ความได้เปรียบในเรื่องของต้นทุน เช่น เหล็กเส้น วัสดุก่อสร้าง สะท้อนว่าอนาคตจะมีลักษณะนี้มากขึ้น ซึ่งไทยเองจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ขณะที่ นายสุนทร สถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด (SE) และในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า นอกจากอสังหาริมทรัพย์ไทยตกอยู่ในภาวะชะลอตัว กำลังซื้อหายไปจากตลาดแล้ว

อีกปัญหาใหญ่ ที่มองข้ามไม่ได้ ดีเวลลอปเปอร์ไทยมีคู่แข่งสำคัญจากทุนต่างชาติโดยเฉพาะจีนเดินทางเข้าประเทศไทย โดยมีหมุดหมายพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขายขณะกลุ่มทุนใหญ่ของจีนจะเข้ามาในรูปแบบพันธมิตรกับดีเวลลอปเปอร์ไทยมากขึ้น

นอกจากวัสดุจีนขายถูกแล้วยังมาเป็นผู้พัฒนาเอง สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมระดับกลางส่วนโครงการระดับบนราคา 30 ล้านบาทขึ้นไป จีนเข้ามาจับมือกับนักลงทุนไทย และนำเข้าวัสดุจีน ลงทุนเอง-สร้างเอง-ขายเองทั้งหมด

"สิ่งที่น่ากังวล คือการนำเทคโนโลยีการก่อสร้าง วิศวกร แรงงาน ผู้รับเหมาเข้ามาอย่างครบวงจร และมีรอบการก่อสร้างที่เร็วทำให้โครงการออกสู่ตลาดเร็วขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการเองจำเป็นต้องปรับตัวยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ให้ครบวงจร ไม่ว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนจริยธรรมทางธุรกิจ ที่ถูกต้องและได้ผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพดี ให้ต้นทุนแข่งขันกับทุนใหญ่"

อย่างไรก็ตามในระยะยาวหากทุนจีนรุกเข้ามาตลาดใหญ่ ดีเวลลอปเปอร์ไทย จะต้องปรับตัวให้ทันแต่สำหรับวันนี้มองว่า ผู้ประกอบการ รายใหญ่ไม่น่าห่วง แต่รายกลางและรายเล็กต้องปรับตัว ต้องมีแบรนด์เป็นของตัวเอง มีการพัฒนาอย่างเข้มข้นทั้งระยะเวลาก่อสร้างที่จีนสามารถพัฒนาได้เร็ว