"พ.อ.เศรษฐพงศ์"ชี้ควบรวม“ทรู-ดีแทค”ได้ แนะกสทช.ยึดประกาศปี 61 ตามแนว 9 ดีล

03 ส.ค. 2565 | 07:59 น.

“พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ” อดีตรองประธาน กสทช. ชี้การรวมทรู-ดีแทค ยึดประกาศปี 61 ไม่ต้องขออนุมัติ โดย กสทช.แค่รับทราบและออกเงื่อนไขได้ เหมือนกับ 9 ดีลรวมธุรกิจก่อนหน้า ต้องไม่สับสน นำกฎหมายไม่เกี่ยวข้องมาปน

วันนี้ (3 ส.ค.65 ) พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กมธ.ดีอีเอส) สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะอดีตรองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญทำหน้าที่ประมูลคลื่นมือถือ 3G ครั้งแรกในไทย รวมถึงเป็นผู้ที่มีความรู้และเข้าใจเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับการกำกับดูแลการรวมธุรกิจโทรคมนาคม หรือ ประกาศ กสทช. ได้แสดงความเห็นถึงการควบรวมระหว่าง  ทรู  และ ดีแทค  ว่า การควบรวมไม่ใช่เรื่องใหม่ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย 


พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการควบรวมเกิดขึ้นไม่น้อยกว่า 9 ราย  ซึ่งล้วนเป็นการแจ้งการควบรวม ตามประกาศ กสทช. ปี 2561 และเรื่องการควบรวม ไม่ได้เป็นกฎหมายที่เพิ่งเขียนขึ้นมา แต่เป็นประกาศที่ใช้มาแล้วถึง 9 ดีล รวมถึงการควบรวมการสื่อสาร (CAT) และองค์การโทรศัพท์ (TOT) ซึ่งล้วนเป็นไปตามประกาศปี 2561 โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจาก กสทช. 

เช่นเดียวกับ การรวมกิจการการรวมธุรกิจระหว่าง ทรู และ ดีแทค ซึ่งเป็นการควบบริษัท (Amalgamation) จึงไม่ต้องขออนุญาตจาก กสทช. แต่ตามประกาศ กสทช.ปี 2561 ที่ได้ใช้มาหลายกรณีแล้วนั้น เมื่อ กสทช.รับทราบ หากมองว่าอาจจะมีผลกระทบเกิดขึ้น กสทช.สามารถกำหนดเงื่อนไขมาใช้เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะได้ ซึ่งในกรณีนี้ก็ควรเป็นเช่นเดียวกับดีลที่ผ่าน ๆ มา ไม่น่ามีเหตุผลใดที่จะเลือกปฏิบัติให้แตกต่างจากดีลที่ผ่านมา


พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าวอีกว่า กรณีมีการยกเอาประกาศฉบับอื่น ๆ นอกจากประกาศ กสทช. ปี 2561 มาใช้อ้างอิงกรณีควบรวม ทรู และ ดีแทคนั้น การนำประกาศฉบับต่าง ๆ มาอ้างอิงทำให้สังคมเกิดความสับสน ซึ่งต้องแยกให้ออกก่อนว่า “การควบรวม” แตกต่างจาก “การเข้าซื้อกิจการ” ดังนั้น การควบรวมที่ผ่านมา รวมถึงกรณีของทรูและดีแทค ต้องใช้ประกาศ กสทช. ปี 2561 ซึ่งออกสมัยที่ตนเอง เป็น กสทช.ด้วย และเป็น  กสทช. ฝั่งโทรคมนาคม 

สำหรับประกาศ กสทช. ปี 2561 กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม หรือผู้มีอำนาจควบคุมของผู้ได้รับใบอนุญาตที่ต้องการรวมธุรกิจ ต้องรายงานการรวมธุรกิจต่อเลขาธิการ กสทช. ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันก่อนจดทะเบียนควบบริษัท ซึ่งกำหนดให้ รายงานต่อเลขาธิการ กสทช.เท่านั้น  

 

ส่วนที่มีคนยกเอากฎหมายฉบับอื่นมาอ้างอิง เช่น ประกาศ กสทช. ปี 2553 ที่ถูกยกเลิกไปแล้ว หรือ ประกาศปี 2549 ที่เป็นเรื่องของการเข้าซื้อกิจการ มาใช้อ้างอิงนั้น ทำไม่ได้ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน กสทช.มีการยกเลิกกฎหมายเรื่องการแข่งขันสองครั้ง ครั้งแรกเนื่องจากประกาศปี 2549 ไม่ได้พูดเรื่องการควบรวม จึงออกประกาศปี 2553 มาใช้กับการควบรวม 


และเมื่อมีประกาศปี 2561 เรื่องการรวมธุรกิจ ก็ได้ยกเลิกประกาศปี 2553 ไปแล้ว  ซึ่งเหตุที่ยกเลิกประกาศปี 2553 ไปนั้น เพราะหลักเกณฑ์ไม่ตรงตามบัญญัติในกฎหมายแม่บท โดยพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ และ พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคมฯ ไม่ได้ให้อำนาจ กสทช.ในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตการรวมธุรกิจแต่อย่างใด 


ดังนั้นจึงเกิดประกาศเรื่องการรวมธุรกิจปี 2561 ออกมาใช้แทน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสอดคล้องกับ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ และ พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคมฯ  ดังนั้น การอ้างถึงหรือการนำประกาศ กสทช.ปี 2553 มาใช้ในการพิจารณาการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคมจึงไม่ถูกต้อง เพราะประกาศ กสทช.ปี 2553 ถูกยกเลิกไปแล้ว ไม่ควรนำมาทำให้สังคมสับสน


 ขณะเดียวกัน ไม่ควรยกประกาศ กสทช.ปี 2549 มาใช้กับกรณีการวมธุรกิจทรูและดีแทค เพราะเป็นคนละกรณีกัน เปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะประกาศ กสทช.ปี 2549 เป็นเรื่องการซื้อกิจการระหว่างกัน ต่างจากการควบรวม โดยประกาศ กสทช. ปี 2549 เป็นการบังคับผู้รับใบอนุญาตที่ดำเนินการซื้อกิจการด้วยการเข้าซื้อหุ้น หรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละสิบของจำนวนหุ้นทั้งหมด ของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งหมด หรือ บางส่วน เพื่อควบคุมนโยบาย หรือ การบริหารธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น ต้องขออนุญาตจาก กสทช. ก่อน 


ดังนั้น ประกาศ กสทช. ปี 2549 จึงไม่สามารถใช้บังคับกับการรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทคในครั้งนี้ ต้องไม่สับสน เพราะแตกต่างกัน และใช้กฎหมายคนละตัวกันชัดเจน


ทั้งนี้ ดีลทรูและดีแทค ไม่ใช่ดีลแรกในการควบรวมภายใต้ประกาศ กสทช. ปี 2561 ที่ผ่านมาก็มีถึง 9 ดีล ทำไมถึงจะมีปัญหาเฉพาะกรณีนี้ได้อย่างไร ทุกกรณีต้องพิจารณาอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ เรามีกฎระเบียบกำกับดูแล ก็ควรยึดตามหลักเกณฑ์

 

หากดูจากแนวปฏิบัติของ กสทช. ในการพิจารณาการควบรวมที่ผ่านมา หลังจากที่ประกาศเรื่องการรวมธุรกิจฯ ปี 2561 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.2561 มีผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมไม่น้อยกว่า 9 รายดำเนินการแจ้งการรวมธุรกิจภายใต้ประกาศดังกล่าว ซึ่ง กสทช.ก็มีมติเพียงรับทราบ การแจ้งการรวมธุรกิจเหล่านั้นเท่านั้น โดยมิได้ออกคำสั่งอนุญาต และมิได้อาศัยอำนาจตามประกาศเรื่องมาตรการป้องกันการผูกขาดฯ ปี 2549 มาประกอบการพิจารณาแต่อย่างใด 


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) กสทช ก็มีมติเพียง “รับทราบ” การแจ้งการรวมธุรกิจเหล่านั้นเท่านั้น ซึ่งเป็นการรวมธุรกิจโดยวิธีการควบบริษัท ดังเช่น การรวมธุรกิจระหว่าง ทรู และ ดีแทค ในครั้งนี้ ดังนั้น กสทช.ก็ต้องดำเนินการแบบเดียวกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ


 "อีกเรื่องหนึ่งที่สังคมพูดถึง คือ เรื่องของการกังวลว่าราคาจะสูงขึ้น จนกระทบเศรษฐกิจ อันนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะกสทช. มีกฎหมาย และ อำนาจ ในการกำหนดเพดานราคาอยู่แล้ว การจะคาดคะเนว่าราคาจะสูงขึ้นเกินกรอบเพดาน ที่กสทช.ควบคุมนั้น ผู้ประกอบการทุกรายมีใบอนุญาต ทุกคนต้องเคารพกฎระเบียบอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมา กสทช.ก็ควบคุมเพดานราคาได้ดี จนประเทศไทยมีราคาค่าบริการ ถูกเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องราคา คงไม่ต้องกังวล" พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ ระบุ