"ศักดิ์สยาม" กางแผนแก้ปัญหาคมนาคม 4 มิติ รับสงครามรัสเซีย-ยูเครน

18 มี.ค. 2565 | 02:09 น.

"ศักดิ์สยาม" เตรียมแผนลดผลกระทบภาคคมนาคมขนส่ง รับมือสงครามรัฐรัสเซีย-ยูเครน สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาราคาน้ำมัน ดึงประชาชนใช้ระบบขนส่งสาธารณะ

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (รวค.) เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานประชุม แนวทางการลดผลกระทบต่อภาคคมนาคมขนส่งจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียและประเทศยูเครน ว่า หลังจากประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียและประเทศยูเครน และตรวจสอบผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทย โดยในส่วนของกระทรวงคมนาคม (คค.) นั้น ได้มีการติดตามผลกระทบและมาตรการรองรับในด้านพลังงานและด้านโลจิสติกส์

 

 

 สำหรับด้านการขนส่งทางถนน จากสถานการณ์ด้านพลังงานปรับราคาสูงขึ้นอาจทำให้ต้นทุนด้านการขนส่งสูงขึ้น ทำให้มีผลกระทบต่อกลไกการตลาดได้ รวมถึงผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะที่อาจได้รับผลกระทบคือรถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการเดินทาง รวมทั้งต้นทุนในวัสดุราคาก่อสร้างต่าง ๆ ที่สูงขึ้น และหน่วยงานภาครัฐได้เตรียมรองรับสถานการณ์เดินรถให้สอดคล้องกับความต้องการใช้รถโดยสารสาธารณะของประชาชน

 

 

ด้านการขนส่งทางราง ได้เตรียมการรองรับปริมาณผู้โดยสารที่อาจเปลี่ยนมาใช้ระบบรางเพิ่มขึ้น โดยมีแนวทางสนับสนุนให้ผู้โดยสารเข้ามาใช้ระบบรางในการเดินทางเพิ่มขึ้น เช่น เตรียมความพร้อมของสถานี ความสะดวกในการชำระค่าโดยสาร มาตรการทางการตลาดเพื่อเชิญชวนผู้โดยสาร และมาตรการความปลอดภัยต่าง ๆ

ด้านการขนส่งทางน้ำ ผู้ประกอบการเดินเรือระหว่างประเทศและภายในประเทศได้รับผลกระทบต้นทุน ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยการเดินเรือระหว่างประเทศต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่สงคราม โดยส่งผลให้ ค่าขนส่งสูงขึ้นตามราคากลไกตลาด พร้อมกันนี้ได้มีการติดตามสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย และเส้นทางการเดินเรืออย่างใกล้ชิดส่วนด้านการขนส่งทางอากาศ เกิดผลกระทบต่อราคาบัตรโดยสารและต้นทุนของสายการบิน ซึ่งส่งผลกระทบ ต่อปริมาณเที่ยวบิน และจำนวนผู้โดยสารจากยุโรปมีแนวโน้มปรับลดลง ทั้งนี้เที่ยวบินจากไทย ไป-กลับ ยุโรป ยังไม่ได้รับผลกระทบ

 

 

 

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมทุกหน่วยงาน พิจารณาดำเนินการหลายเรื่อง เช่น การให้พิจารณาต้นทุนรถโดยสารสาธารณะ ที่จะส่งผลต่อการเสนอปรับขึ้นอัตรา ค่าโดยสาร รวมทั้งต้นทุนรถแท็กซี่ รวมถึงแนวทางการอุดหนุน (Subsidy) ผู้ประกอบการเนื่องจากต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น โดยในส่วนของผู้ให้บริการขนส่ง ให้เตรียมประเมินสถานการณ์ในอนาคต กรณีตรึงราคาน้ำมันที่ 30 บาทต่อลิตร และที่ราคาอื่น ๆ รวมถึงการประเมินราคาต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้น และแนวทางในการจ่ายเงินชดเชยค่า K หรือ ESCALATION FACTOR

 

 

ขณะที่ด้านการขนส่งทางราง พัฒนาระบบ การจ่ายค่าโดยสารร่วมในระบบขนส่งมวลชนสาธารณะรูปแบบอื่น การส่งเสริมทางการตลาด เพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้ประชาชนเดินทางด้วยรถไฟฟ้า รวมทั้งพัฒนา Application ที่ให้ข้อมูลการเดินทาง การเชื่อมต่อตลอดจนมาตรการส่งเสริมการขนส่งระบบราง และเตรียมความพร้อมในการรองรับบริการที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางมาใช้ระบบรถไฟฟ้า

ด้านการขนส่งทางน้ำ ให้มีแผนการปรับเปลี่ยนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้พลังงานทางเลือกอื่น โดยบริหารจัดการสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการดำเนินกิจการและการปฏิบัติงาน เพื่อมิให้เกิดการหยุดชะงัก อย่างเฉียบพลันและส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งด้านการขนส่งทางอากาศ ให้พิจารณามาตรการบรรเทาผลกระทบสายการบิน รวมทั้งพิจารณามาตรการให้การช่วยเหลืออื่นๆ เพิ่มเติมในด้านการผ่อนคลายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคและช่วยอำนวยความสะดวก ในการดำเนินกิจการของผู้ประกอบการ รวมทั้งมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายของ สายการบิน โดยเฉพาะค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และเตรียมพร้อมในกรณีเกิดเหตุวิกฤติ

 

 

 

ทั้งนี้หน่วยงานภาคเอกชนได้เสนอประเด็นปัญหาเรื่องการขนส่งชายฝั่งและการบริหารจัดการพื้นที่ภายในท่าเรือแหลมฉบัง รวมทั้งมาตรการสนับสนุนเพื่อลดต้นทุนการขนส่งด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น

 

 

"ได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมให้ สนข. ประสานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานภาคเอกชน นำข้อเสนอแนะต่าง ๆ มาประมวลสรุปผลเพื่อนำเสนอต่อ คค. ก่อนรายงานไปยังท่านนายกรัฐมนตรี และให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนด้านโลจิสติกส์และขนส่งที่เกี่ยวข้อง และเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานร่วมกันติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้สามารถผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้มีการประชุมติดตามผลการดำเนินงานครั้งถัดไปในอีก 2 สัปดาห์ "