นักวิชาการหนุน ลดภาษีน้ำมัน คาดรับมือได้ถึงครึ่งปีแรก

11 ก.พ. 2565 | 04:50 น.

นักวิชาการเห็นด้วยรัฐลดภาษีน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 3 บาท เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนภาคขนส่งได้

จากกรณีของกระทรวงการคลัง เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 15 ก.พ.2565 พิจารณาเห็นชอบการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงไม่เกิน 3 บาทต่อลิตร หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นนั้น

 

นายพรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านพลังงาน ให้ความเห็นว่า คงต้องรอดูว่าเรื่องนี้รัฐบาลจะผลักดันออกมาในลักษณะใด โดยการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 3 บาท ส่วนตัวก็เห็นด้วย และสอดคล้องกับความเห็นเดิมที่เคยมองว่า หากจะปรับลดลงแรงถึงลิตรละ 5 บาท ก็คงส่งลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐมาก

 

ดังนั้นการเลือกลดการจัดเก็บภาษีส่วนนี้ไม่เกินลิตรละ 3 บาท ก็ถือว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและภาคขนส่งที่เจอกับราคาน้ำมันขายปลีกที่สูงได้

“แม้ว่าจะปรับลดอัตราภาษีลง แต่ถึงอย่างไรราคาน้ำมันก็ขึ้นอยู่กับตลาดโลกที่จะขึ้นสูงมากน้อยอย่างไร แต่ก็คงพอรองรับได้ในกรณีที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นไปถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาเรล หรือปรับขึ้นไปอีกประมาณ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาเรล คิดคร่าว ๆ ก็ขึ้นประมาณลิตรละ 2 บาท ดังนั้นถ้าเราลดภาษีสรรพสามิตลงลิตรละ 2-3 บาทก็พอจะรองรับส่วนเพิ่มอันนี้ได้”

 

ทั้งนี้ในสิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไป คือ สถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเป็นปัจจัยกระทบให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะผลกระทบจากความตรึงเครียดของหากสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงตึงเครียดต่อเนื่อง และต้องติดตามสถนาการณ์การขยายกำลังการผลิตต่าง ๆ ขององค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก หรือ โอเปก และในรัสเซีย จะดีขึ้นหรือไม่ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า

 

ดังนั้นการตัดสินใจปรับลดอัตราภาษีลงก็คงรองรับสถานการณ์ได้อีก 3-4 เดือน หรือในช่วงครึ่งปีแรกก็น่าจะพอไหว

ส่วนกรณีของภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน ล่าสุดมีแนวโน้มว่า กระทรวงการคลังจะยังไม่พิจารณาปรับลดลงเหมือนกับภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล แต่จะมีการออกมาตรการช่วยเหลือเป็นแบบเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะ หรือจักรยานยนต์รับจ้าง โดยจะใช้กลไกช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นั้น นายพรายพล ยอมรับว่า จริง ๆ ถ้าช่วยเฉพาะจุดก็น่าจะได้

 

แต่อย่างไรก็ดีถ้ารัฐตัดสินใจจะลดภาษีเฉพาะน้ำมันดีเซล ไม่ได้ลดน้ำมันเบนซินเข้าไปด้วย ก็มีความเสี่ยงว่าจะสร้างความบิดเบือนได้ในระดับหนึ่ง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต เช่น กรณีราคาน้ำมในดีเซลลดลงมามาก ๆ  คนก็หันไปใช้รถดีเซลเพิ่ม ปัญหาก็ยืดเยื้อไปอีก


ขณะที่แผนการกู้เงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ล่าสุด นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ออกมาระบุว่า เตรียมที่จะกู้เงินอีก 2-3 หมื่นล้านบาทนั้น ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะฐานะกองทุนน้ำมัน ณ วันที่ 6 ก.พ.2565 รวมติดลบ 16,052 ล้านบาท ก็คงต้องเร่งดำเนินการเพื่อพยุงฐานะของกองทุนต่อไป